นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทโออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอาหารและร้านอาหารในประเทศไทยในปีนี้จากการดูข้อมูลพบว่าตลาดรวมขยายตัวลดลงถึง 15% มาจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งในส่วนของโออิชิ กรุ๊ปขยายตัวในระดับ 6% จากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเป็นสำคัญ อาทิ “ชาบูชิ” ซึ่งเป็นผู้นำตลาดชาบู สุกี้หม้อไฟสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายในโออิชิ กรุ๊ป 60-65% มียอดขายใน 9 เดือนแรกรวม 5,386 เติบโต 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา กำไร 337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 214.5% จาก 149 สาขา ทั่วประเทศ
นับเป็นการท้าทายเป็นอย่างมาก ที่สามารถทำธุรกิจให้เติบโตได้ และเติบโตได้ดีจากกลยุทธ์ทางการตลาดหลักๆ 3 ปัจจัย คือ 1.แคมเปญโปรโมชันตลอดปี 2.การใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพจากการได้รับเครื่องหมาย GMOP, HACCP และ ISO 9001:2015 นับเป็นบริษัทอาหารรายแรกที่ได้รับเครื่องหมายดังกล่าว และ 3.Light Store Format เป็นร้านที่มีขนาดพื้นที่เล็กลง 150-170 ตารางเมตร ใช้เพียง 1 สายพาน จากเดิม 2-3 สายพาน เหมาะสำหรับตามทำเลเมืองรอง Hybrid Store Format เปิดบริการ 24 ชั่วโมง รวมทั้ง 56 สาขาในเทสโก้ โลตัส-บิ๊กซี เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 9 โมงเช้า และปรับเปลี่ยนการบริการได้แบบบุฟเฟต์และแบบสั่งได้ตามความต้องการ และ Tier Pricing Format รองรับลูกค้าที่ต้องการรับประมาณแบบพรีเมียมมากขึ้นแบ่งเป็น Gold Buffet ราคาหัวละ 429 บาท และ Platinum Buffet ราคาหัวละ 599 บาท
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ดังกล่าวนับว่าประสบความสำเร็จเช่น ชาบูชิ สาขาสามย่านมิดทาวน์ ซึ่งเป็นสาขาแรกที่เปิดให้บริการทั้งกลางวันและกลางคืนคิดค่าบริการ 10.01-22.00 น. หัวละ 419 บาท และหลัง 22.01 น. คิดค่าบริการ 319 บาท โดยมียอดการรับประทานสูงถึง 10 รอบต่อวันจากปกติ 4 รอบ และแบ่งเป็นใช้บริการตั้งแต่ 10.00-22.00 น. ทำรายได้ 54% 22.01-09.59 น. ทำรายได้ 46% นับเป็นการท้าทายที่น่าต่อยอดธุรกิจเป็นอย่างมาก.