นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยหลังนายอำนวย ปรีมนวงศ์ อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ ส่งมอบงานของกรมธนารักษ์ ว่า ในปี 2563 กรมตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ 15,000 ล้านบาท จากเป้าที่ปี 2563 ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท หรือมากกว่าเป้า 5,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการจัดเก็บรายได้ปี 2562 ที่กรมจัดเก็บรายได้ 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 5,000 ล้านบาทนั้น กรมจะจัดเก็บรายได้จากพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งมีการใช้พื้นที่นอกวัตถุประสงค์หรือในเชิงธุรกิจ และไม่มีการนำส่งรายได้ให้กับงบประมาณแผ่นดิน เช่น ร้านกาแฟ ปั๊มน้ำมัน เป็นต้น โดยมีการเปิดศูนย์ข้อมูลติดตามพื้นที่ราชพัสดุทั้งหมดของกรมธนารักษ์ซึ่งมีอยู่ 13 ล้านไร่ ซึ่งจะใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วยตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังดึงคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ร่วมตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนการใช้พื้นที่ราชพัสดุนอกวัตถุประสงค์ กรมกำหนดเกณฑ์จัดเก็บรายได้ในอัตรา 70 ต่อ 30 คือ 70% เป็นการนำรายได้เข้างบประมาณแผ่นดิน และอีก 30% เก็บเป็นสวัสดิการของผู้เช่าพื้นที่ นอกจากนี้ ในปี 63 กรมจะมีรายได้จากค่าเช่าที่ราชพัสดุต่างๆด้วย เช่น สนามกอล์ฟบางพระ ซึ่งปัจจุบันหมดสัญญากำลังหาผู้เช่าต่อ ท่าเรือภูเก็ต ท่าเรือสงขลา เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมจะเร่งรัดโครงการใหญ่ๆที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการลงทุน 60,000 -70,000 ล้านบาท อาทิ โครงการก่อสร้างศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีการปรับผังก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จปี 2565 ก่อนไทยจัดประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) โครงการขยายศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ
โซน C จำนวน 30,000 ล้านบาท โครงการหมอชิต วงเงินลงทุน 26,000 ล้านบาท เป็นต้น
“นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน โดยให้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการในสังกัดกรมธนารักษ์ตามพื้นที่จังหวัดต่างๆ และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพื่อให้ประชาชนเข้ามาใช้พื้นที่ของหน่วยงานราชการเป็นที่จำหน่ายสินค้า หรือใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ โดยคาดว่าปี 63 จะสามารถจัดสรรพื้นที่ให้ประชาชนครอบคลุมทุกจังหวัด”.