ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) สรุปผลกระทบจากระดับราคาน้ำมันดิบดูไบ 65.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลที่ปรับขึ้นมาเฉลี่ย 5 เหรียญจากเหตุความไม่สงบในประเทศซาอุดีอาระเบีย และอาจกระทบราคาขายปลีกน้ำมันขายปลีกในประเทศ กบง.จึงเห็นชอบใช้กลไกกองทุนน้ำมันเข้ามาดูแลด้วยการปรับลดการเก็บเงินน้ำมันกลุ่มเบนซินลง 1 บาทต่อลิตร และกลุ่มดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศคงที่บรรเทาผลกระทบค่าครองชีพของประชาชน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. เป็นต้นไป
สำหรับค่าการตลาดน้ำมันของผู้ค้าอยู่ที่ประมาณ 1.05-1.40 บาทต่อลิตร ก่อนที่จะมีการปรับลดเงินกองทุน ดังนั้นการลดเงินกองทุนส่งผลให้รายได้ไหลออกจากกองทุนน้ำมัน 813 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมที่มีเงินจากน้ำมันไหลเข้าเดือนละ 1,210 ล้านบาท หากราคาน้ำมันดิบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ก็สามารถดูแลได้ไป 3 เดือน จะใช้เงินเพียง 2,439 ล้านบาทเท่านั้น แต่ถ้าราคาที่ดูไบปรับขึ้นเกิน 65.25 เหรียญจนกระทบราคาขายปลีกมาก ก็ต้องมาดูว่าจะใช้กองทุนน้ำมันดูแลทั้งหมดหรือจะอุ้มบางส่วน แต่หากราคาลดก็จะเก็บเงินคืนกองทุน
ทั้งนี้สถานะเงินกองทุนน้ำ มัน ณ วันที่ 15 ก.ย.มีมูลค่าสุทธิ 39,402 ล้านบาท หลังการเปลี่ยนแปลงข้างต้น จะทำให้เงินส่งเข้ากองทุน เป็นดังนี้ เบนซินเป็น 7.08 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 1.12 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 1.12 บาท แก๊สโซฮอล์อี 20 อุดหนุน 1.78 บาท อี 85 อุดหนุน 7.38 บาท ดีเซลบี 7 อุดหนุน 0.10 บาท บี 10 อุดหนุน 0.95 บาท และบี 20 อุดหนุน 4.80 บาท ส่วนราคาก๊าซหุงต้มเคลื่อนไหวที่ 413 เหรียญต่อตันปรับขึ้น 59 เหรียญ แต่ยังอยู่ในภาวะที่จัดการได้ โดยรัฐยังตรึงราคาไว้ที่ 363 บาทต่อถังเช่นเดิม แต่ขณะนี้กองทุนน้ำมันในส่วนของบัญชีนี้เริ่มมีสถานะเป็นบวก 346 ล้านบาทต่อเดือน แต่ฐานะสุทธิติดลบ 5,711 ล้านบาทซึ่งยังอยู่ในกรอบวงเงินที่วางไว้ติดลบไม่เกิน 7,000 ล้านบาท.