ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ ว่า ผลประกอบการบริษัทและบริษัทย่อย ไตรมาส 2 ปี 62 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25,938.13 ล้านบาท ลดลง 11.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้งวดรวมครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 55,250.21 ล้านบาท ลดลง 20.9% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการ กลั่น รวมถึงธุรกิจน้ำมันที่มีขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงจากสิ้นไตรมาสแรก ปี 62 ที่ 67.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 64.9 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และการรับรู้ค่าชดเชยเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ของบริษัทในเครือ
ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับน้ำมันดิบ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ส่วนใหญ่ปรับลดลงเช่นกัน แม้ผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เช่นเดียวกับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมดีขึ้นจากปริมาณการขายเฉลี่ยและราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น โดยมาจาก บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ที่รับรู้ผลการดำเนินงานของ บมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) เต็มไตรมาส 2 ปี 62
สำหรับสถานะการเงินของ ปตท. และบริษัทย่อย วันที่ 30 มิ.ย.62 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2.381 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากสิ้นปี 61 โดยมาจากที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการโกล์ว ของจีพีเอสซี ขณะที่มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 1.082 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ซึ่งเป็นส่วนของหนี้สินที่มีดอกเบี้ย 621,484 ล้านบาท โดยหลังจากเงินกู้ยืมเพื่อเข้าซื้อกิจการดังกล่าว และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 1.299 ล้านล้านบาท ลดลง 1.4% มาจากการจ่ายเงินปันผล และผลกระทบจากการแปลงค่างบการเงินของ บมจ.ปตท.สผ. ตามค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) เดือน ก.ค.62 ความต้องการใช้น้ำมันของโลกปี 62 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันไปอยู่ที่ระดับ 100.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนไตรมาส 3 ปี 62 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากไตรมาส 2 ปี 62 ไปอยู่ที่ระดับ 101.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน.