นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การหารือกับผู้บริหารกลุ่มบริษัท ปตท. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการหารือถึงแนวทางผลักดันคลัสเตอร์อุตสาหกรรมชีวภาพ (ไบโออีโคโนมี) ที่โดยพื้นฐานการเป็นประเทศเกษตรกรรมของไทย ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะพัฒนาให้คลัสเตอร์นี้เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ แต่จะต้องอาศัยยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจเข้ามาร่วมผลักดันไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม ปตท. กลุ่มซีพี กลุ่มน้ำตาลมิตรผล ที่สามารถเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมชีวภาพได้
ทั้งนี้ ในการหารือได้เชิญนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เข้าร่วม เพื่อนำคอนเซปต์การพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมชีวภาพไปสานต่อให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้น ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญของการเกิดสตาร์ตอัพที่มีนวัตกรรมอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งสตาร์ตอัพที่มีนวัตกรรมรายเล็กๆ จะเกิดได้จะต้องมีรายใหญ่นำร่องก่อน
นายสมคิด กล่าวว่า คลัสเตอร์อุตสาหกรรมชีวภาพจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ทางฮ่องกงจะมาร่วมพัฒนาโครงการไซเบอร์พอร์ตในพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งในช่วงปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ผู้บริหารไซเบอร์พอร์ตฮ่องกงซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะสตาร์ตอัพในฮ่องกงได้เดินทางมาหารือเกี่ยวกับประเด็นนี้ ซึ่งฮ่องกงเห็นว่าไทยเป็นพื้นที่สำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์วันเบลต์วันโรดของจีน
ทั้งนี้ โครงการไซเบอร์พอร์ตที่จะเกิดขึ้นในอีอีซีจะเป็นพื้นที่ที่จะส่งเสริมให้เกิดสตาร์ตอัพ เป็นการระดมสถาบันด้านการวิจัย และดึงทรัพยากรบุคคลที่มีศักยภาพสูง (ทาเลนต์) กลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน กองทุนที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่สตาร์ตอัพ หรือเวนเจอร์แคปิตอลเข้ามารวมกันและสร้างสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนการเกิดสตาร์ตอัพ สำหรับพื้นที่ที่จะตั้งไซเบอร์พอร์ตนั้นจะอยู่ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซีไอ)