"Jellifi Tea" ชานมไต้หวัน..มีดีที่เจลลี่บุก

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"Jellifi Tea" ชานมไต้หวัน..มีดีที่เจลลี่บุก

Date Time: 2 ก.ย. 2560 05:01 น.

Summary

  • ทุกวันนี้เราคงหนีไม่พ้นที่ต้องเจอะเจอกับอากาศที่แสนร้อนระอุในเมืองไทย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฤดูใดก็ต้องมีวันที่อากาศร้อนอบอ้าวมาให้ได้สัมผัสอยู่ตลอด

Latest

“ชรินทร์” พลิกฟื้น “เดอะ ทวิน ทาวเวอร์” “รัดเข็มขัด” สร้างกำไรจุดขายใหม่ย่านบรรทัดทอง

ทุกวันนี้เราคงหนีไม่พ้นที่ต้องเจอะเจอกับอากาศที่แสนร้อนระอุในเมืองไทย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฤดูใดก็ต้องมีวันที่อากาศร้อนอบอ้าวมาให้ได้สัมผัสอยู่ตลอด

แน่นอนเมื่ออากาศเป็นเช่นนี้ มนุษย์เราก็หาทางออกช่วยดับร้อน ทั้งเดินเล่นในห้างรับแอร์เย็นๆ นอนเปิดแอร์อยู่ที่บ้าน ไปหา สวนน้ำ หรือเล่นน้ำทะเล และอื่นๆอีกมากมาย

แต่อีกสิ่งที่สามารถช่วยคลายร้อนได้ง่ายๆ คือการหาเครื่องดื่มเย็นๆมาดื่มให้ชื่นใจ ก็เป็นทางออกที่สร้างความฟิน...ให้ได้ในยาม ที่เผชิญอากาศร้อน

Business On My Way สัปดาห์นี้ ก็ขอพาไปรู้จักกับแบรนด์ “Jellifi Tea” (เจลลิฟี่ ที) ชานมไต้หวันบรรจุขวดพร้อมดื่มผสมเจลลี่แบบพาสเจอร์ไรซ์ ที่คิดสร้างสรรค์ มาจากคู่เพื่อนซี้ “คุณอิ๊ง” (รัตนากร ลาภรัตนาภรณ์) และ “คุณภัส” (นภัสร ลาภศิริวงศ์) ที่ทั้งคู่มีความชอบและหลงใหลในชานมเป็นชีวิตจิตใจ

คุณอิ๊งเล่าถึงจุดเริ่มของ Jellifi Tea ว่า เดิมทีทางบ้านมีร้านขายน้ำปั่นที่โรงอาหารคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และก็มีโอกาสได้ไปช่วยขายจึงได้เรียนรู้ว่าลูกค้าชอบดื่มน้ำอะไร รสชาติประมาณไหน จากนั้นมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวไต้หวัน และได้ไปดื่มชานมไต้หวันเกิดความรู้สึกว่าชอบรสชาติ และปิ๊งไอเดียอยากจะทำขายในเมืองไทย ซึ่งก็เป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว

หลังจากกลับมาเมืองไทยก็ศึกษาหาข้อมูลเรื่องชาไต้หวัน และทดลองทำแล้วไปฝากร้านคุณแม่ขายให้ ซึ่งก็มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง คือเมื่อคุณแม่เลิกกิจการร้านน้ำปั่น คุณอิ๊งเล่าว่า ช่วงนั้นเธอเครียดมาก คิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไรต่อ ก็ได้ปรึกษากับทางคุณภัส ซึ่งก็เกิดไอเดียว่าเราไม่ต้องมีหน้าร้านก็ได้ เปลี่ยนมาเป็นชาบรรจุขวดแทน ซึ่งช่วงแรกก็เลือกใช้ขวดแบบธรรมดา มีโลโก้เป็น สติกเกอร์แปะขวดง่ายๆ

คุณอิ๊งเล่าว่า ตอนนั้นก็ตระเวนไปขายตามงานสถานที่ต่างๆ ก็มีลูกค้าสนใจอยู่เล็กน้อย ส่วนใหญ่จะต้องชวนให้ทดลองดื่มก่อนแล้วจึงจะตัดสินใจซื้อ ซึ่งจากการสังเกตพฤติกรรมของลูกค้าก็พบว่า ตัวขวดบรรจุดูไม่สวย โลโก้ไม่ดึงดูด ไม่สร้างความจดจำและการน่าซื้อได้เท่าที่ควร

จากนั้นก็มาปรึกษากันอีกครั้งเพื่อรีแบรนด์ Jellifi Tea ใหม่ โดยสั่งผลิตขวดบรรจุใหม่ให้มีรูปทรงที่ทันสมัย จับถนัดมือ รวมถึงโลโก้ก็ได้ออกแบบใหม่ให้ดูสนุก มีคาแรกเตอร์จดจำง่าย รวมถึงมีการใช้ช่องทางออนไลน์มาสื่อสารกับลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จเพราะลูกค้าเริ่มสนใจและรู้จักมากขึ้น

“จุดเด่นของชา Jellifi Tea คือเราจะใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่เลือกใช้วัตถุดิบทั้งใบชาดำ และเจลลี่ผสมหัวบุกสาหร่าย (Agar Jelly) นำเข้าจากไต้หวัน เพื่อให้ได้รสชาติที่เหมือนชงสดเปิดดื่มทุกขวด ที่สำคัญจะเน้นรสชาติที่หวานน้อยอีกด้วย”

คุณอิ๊งเล่าว่า เหตุที่เลือกเจลลี่บุกมาเป็นส่วนผสมใน Jellifi Tea เพราะมาตอบโจทย์ให้คนที่ไม่ชอบทานเม็ดไข่มุก ที่ส่วนใหญ่จะเห็นใส่ในชานมทั่วๆไป ซึ่งส่วนตัวก็เป็นคนไม่ชอบทานไข่มุกอีกด้วย จึงเข้าใจในจุดนี้ดี อีกทั้งคุณประโยชน์ของเจลลี่บุกยังให้พลังงานที่ต่ำ มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย

นอกจากนี้ อีกข้อดีของเจลลี่บุกคือ ชาของเราจะชงบรรจุขวดเสร็จแล้วจะใช้วิธีแช่แข็ง (Freeze) เพื่อคงความ สดใหม่ ซึ่งตัวเจลลี่บุกก็จะคงสภาพไว้ได้ แต่หากเป็นเม็ดไข่มุกก็จะเป็นไตแข็งๆ ทานไม่อร่อย โดยลูกค้าที่ซื้อไปทานหากแช่แข็งชาจะอยู่ได้ 3-4 สัปดาห์ แต่หากแช่เย็นธรรมดาก็อยู่ได้ 1 สัปดาห์ เป็นเพราะเราไม่ใส่สารวัตถุกันเสีย

ปัจจุบัน Jellifi Tea มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ 1.ชานมไต้หวันแบบมีเจลลี่บุก และแบบไม่มีเจลลี่บุก 2.ชานมไทยแบบมีเจลลี่บุก และไม่มีเจลลี่บุก โดยขนาดขวดก็มีขนาดเดียวคือ 250 มิลลิลิตร เพราะเป็นขนาดที่เหมาะสมสำหรับทานในครั้งเดียว อีกทั้งพกพาสะดวกด้วย ราคาขวดละ 35-40 บาท นอกจากนี้ ยังมีการนำตู้แช่ไปวางจำหน่ายผ่านร้านอาหารต่างๆด้วย ทั้งครัวเจ๊ง้อ สาขาสี่พระยา และพระราม 2, ร้านไม้ม้วน สุขาภิบาล 3 ซึ่งก็ไปซื้อดื่มได้

คุณภัสหนึ่งในหุ่นส่วนเล่าว่า นอกจากทำชานม Jellifi Tea แล้ว ยังมีการต่อยอดธุรกิจโดยการนำชานมมาพัฒนาเป็นไอศกรีมสายไหม (Snowice) โดยเปิดร้านเป็นของตนเอง “Jellifi Cafe” (เจลลิฟี่ คาเฟ่) ซึ่งก็จะมีบริการทั้งของหวาน และเครื่องดื่ม โดยเมนูของหวานก็จะมีไอศกรีมรสชาติต่างๆ อาทิ ชานมไต้หวัน, ชาไทย, ชานมชมพู, รสนม, กล้วยหอมทอง, เสาวรส, โยเกิร์ต และถ่านไม้ไผ่ เป็นต้น ซึ่งก็จะมี Toppings ให้เลือกใส่เพิ่มอีกด้วย

อีกทั้งยังมีในส่วนของเมนู Jellifi Toast โดยเมนูเด่นจะเป็นขนมปังชาโคล และที่ขาดไม่ได้คือเครื่องดื่มก็มีไว้รองรับอีกมากมาย ทั้งนี้ ยังมีแผนจะเปิดสาขา Jellifi Cafe เพิ่มอีกด้วยในเร็วๆนี้ โดยปัจจุบัน Jellifi Cafe ตั้งอยู่ ที่โครงการ The collection house ลาซาล ถ.ศรีนครินทร์ ซอยโรงพยาบาลศิครินทร์ ใครที่สนใจสามารถหาเฟซบุ๊ก หรือ IG พิมพ์ว่า Jellifitea ดูก่อนก็ได้

ท้ายสุดสองเพื่อนซี้ยังทิ้งคำคมในการทำธุรกิจด้วยว่า ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราตั้งใจทำสิ่งนั้นจริงๆ ถึงแม้เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ แต่หากมุ่งมั่นที่จะทำก็ต้องมีทางให้เราเดินไปได้ อยู่ที่ว่าเราตั้งใจจะทำสิ่งนั้นมากน้อยแค่ไหน.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ