ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง จำกัด ให้แก่ บริษัท อเดลฟอส จำกัด ซึ่งมีนายฐาปน และนายปณต สิริวัฒนภักดี ทายาทนายเจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งกลุ่มไทยเบฟ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วน 50% มูลค่าเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท อันเป็นผลให้นายฐาปนและนายปณตเข้ามาเป็นเจ้าของร่วมในธุรกิจภายใต้บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง อันประกอบด้วย ช่องทีวีดิจิทัลจีเอ็มเอ็ม 25, รายการวิทยุในเครือเอไทม์มีเดีย, ธุรกิจท่องเที่ยว ในนามเอไทม์ทราเวิลเลอร์ และธุรกิจบริหารจัดการคอนเทนต์ (Content Provider) ในนามบริษัท จีเอ็มเอ็มทีวีนั้น
นางสายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มีเดีย บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้อยู่ในจังหวะที่ธุรกิจกำลังเติบโตจึงมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก แต่บริษัทอเดลฟอสมีศักยภาพตรงกันมากที่สุด ทั้งการเป็นนักลงทุนมืออาชีพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหาร ทำให้ทีมงานมีความเป็นอิสระเช่นเดิม “เราคุยกับคุณฐาปนและคุณปณตด้วยความสบายใจ เขาเป็นนักลงทุนมืออาชีพ โดยพนักงานที่มีอยู่กว่า 600 คน จะไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 นั้น ไม่ได้อยู่ได้ด้วยเรตติ้งอย่างเดียว ถ้าดูเฉพาะเรตติ้งไม่น่าอยู่ได้ด้วยซ้ำ (เรตติ้งปัจจุบันประมาณ 0.18) ซึ่งจุดแข็งอยู่ที่การมีสื่อครบวงจร ทำการตลาด ขายคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรารู้ตั้งแต่ต้นๆว่า การทำสื่อปัจจุบันจะทำอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยสิ่งที่มีทั้งหมด เราจึงทำออนไลน์เยอะมาก นอกจากการมีช่องวิทยุที่ได้รับความนิยมทำให้ขายโฆษณาได้มีประสิทธิภาพ ล่าสุดยังปรับขึ้นราคาโฆษณาอีก 10%”
นางสายทิพย์กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาช่องจีเอ็มเอ็ม 25 ขาดทุน อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท มีงบลงทุนด้านคอนเทนต์ที่ 500- 600 ล้านบาท ถือว่าไม่มากนัก แต่เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนล่าสุด จะช่วยให้ช่องสามารถลงทุนด้านคอนเทนต์ได้มากขึ้น รวมทั้งใช้เงินทำตลาดเพื่อการเข้าถึงผู้ชมในกลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มต่างจังหวัด จากปัจจุบันผู้ชมช่อง 25 อยู่ในเขตกรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ “ก่อนหน้านี้เราอาจเติบโตได้ช้าไป จากนี้เมื่อมีเงินใหม่เพิ่มเข้ามา เราน่าจะเร่งอัตราเติบโตได้เร็วขึ้น มากขึ้น”.