นิด้าโพล จับมือ ส.อ.ท. เผยผลสำรวจความคิดเห็น เรื่องแนวโน้มการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดย 75% เชื่อว่าปัจจัยการลงทุนเพื่อการแสวงหาตลาดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศ ASEAN ..
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหาร ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งสิ้นจำนวน 64 ราย เรื่องแนวโน้มการลงทุนไทยในต่างประเทศ พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจทำการลงทุนในต่างประเทศ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 75% ระบุว่า เป็นการแสวงหาตลาดใหม่ หรือรักษาส่วนแบ่งตลาดเดิมไว้ 33.33% ระบุว่า เป็นการแสวงหาวัตถุดิบและต้นทุนการจ้างแรงงานที่ถูกกว่าภายในประเทศ 25% ระบุว่า เป็นการลดอุปสรรคทางการค้า จากการเข้าไปผลิตสินค้าในบางประเทศ 16.67% ระบุว่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและแสวงหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ และ 8.33% ระบุว่า เป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจ
สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัย ที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 56.25% ระบุว่า ประเทศไทยมีต้นทุนการผลิตและค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น จึงพิจารณาขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ 42.19% ระบุว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจและการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศของประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) 32.81% ระบุว่า ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น 15.63% ระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่า 9.38% ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ยังฟื้นตัวไม่แข็งแกร่งตามที่คาดไว้ และ 1.56% ระบุว่า ศักยภาพและความพร้อมทางด้านเงินลงทุนของผู้ประกอบการ
ทางด้านรูปแบบการลงทุนในต่างประเทศ ที่ผู้ประกอบการเข้าไปลงทุน พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 66.67% ระบุว่า เป็นการลงทุนโดยร่วมทุนกับผู้ประกอบการในประเทศที่ไปลงทุน รองลงมา 41.67% ระบุว่า เป็นการลงทุนจัดตั้งบริษัทใหม่หรือขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ และ 8.33% ระบุว่า เป็นการลงทุนโดยการควบรวมกิจการ และเป็นการลงทุนซื้อกิจการที่มีอยู่เดิม ในสัดส่วนที่เท่ากัน
เมื่อถามถึงเรื่องอุตสาหกรรมของไทย ที่มีศักยภาพในการลงทุนในต่างประเทศ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 46.88% ระบุว่า เป็นการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม 25.00% ระบุว่า เป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 18.75% ระบุว่า เป็นการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ 12.50% ระบุว่า เป็นอุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ 12.50% ระบุว่า เป็นการผลิตเครื่องจักรและเครื่องมือ 10.94% ระบุว่า เป็นอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า 9.38% ระบุว่า เป็นอุตสาหกรรมการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ 21.88% ระบุอื่นๆ ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ พลังงานทดแทน พลาสติกและบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง การท่องเที่ยว โรงแรม และภาคการบริการต่างๆ และ 6.25% ไม่แน่ใจ
ส่วนแนวโน้มของผู้ประกอบการที่จะลงทุนในกลุ่มประเทศต่างๆ ในอนาคต พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 54.69% ระบุว่า ไม่มีแนวโน้มที่จะลงทุน 37.50% ระบุว่า มีแนวโน้มที่จะลงทุน และ 7.81% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ โดยในจำนวนผู้ที่มีแนวโน้มจะลงทุนนั้น 91.67% ระบุว่า เป็นกลุ่มประเทศ ASEAN เพราะเป็นศูนย์กลางของธุรกิจของเอเชีย 8.33% ระบุว่า เป็นกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) เพราะมีทรัพยากรธรรมชาติมาก 4.17% ระบุว่า เป็นกลุ่มสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา กลุ่มตะวันออกกลาง และแอฟริกา ในสัดส่วนที่เท่ากัน เป็นแหล่งวัตถุดิบราคาถูก และมีตลาดรองรับ
สำหรับเรื่องขยายการลงทุนไปในกลุ่มประเทศต่างๆ อันเนื่องมาจากนโยบาย One Belt One Road ของจีน พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 64.06% ระบุว่า เป็นกลุ่มประเทศ ASEAN 34.38% ระบุว่า เป็นจีน 6.25% ระบุว่า เป็นสหภาพยุโรป 4.69% ระบุว่า เป็นแอฟริกา 3.13% ระบุอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มประเทศ CLMV และอินเดีย และ 10.94% ไม่แน่ใจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการให้ภาครัฐสนับสนุน การออกไปลงทุนในต่างประเทศของภาคเอกชน พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 62.50% ระบุว่า เป็นการให้ความรู้เบื้องต้นตั้งแต่ขั้นตอนสำหรับการไปลงทุนต่างประเทศ ตลาดที่มีศักยภาพ ระบบภาษีกฎระเบียบการค้า การลงทุนของแต่ละประเทศ เป็นต้น 48.44% ระบุว่า เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบของประเทศต่างๆ ที่จะเข้าไปลงทุน การช่วยเหลือประสานงานกับภาครัฐและภาคเอกชนในต่างประเทศ 43.75% ระบุว่า เป็นการปรับปรุงกฎระเบียบในการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศให้มีความทันสมัย และสะดวกต่อการไปลงทุนในต่างประเทศ 39.06% ระบุว่า เป็นการสนับสนุนเงินทุนในการดำเนินงานเพื่อออกไปลงทุนในต่างประเทศ และ 4.69% ไม่แน่ใจ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนไทยในต่างประเทศ ประกอบด้วย 1. ควรสนับสนุนด้านการให้ความรู้ คำแนะนำ ภาษาต่างประเทศ เทคโนโลยีช่องทางการประสานงาน ในการติดต่อลงทุน 2. ภาครัฐ และสถาบันการเงินควรมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ 3. ควรเร่งแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว
4. ควรมีมาตรการหรือเงื่อนไขที่สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ 5. ในแต่ละประเทศควรมีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐในการประสานงานการลงทุน การเจรจาหาคู่ค้า การจัดตั้งบริษัท เช่น สถานทูต เนื่องจากปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายสูงโดยเฉพาะการจ้างนักกฎหมายในต่างประเทศ และผลตอบรับที่ไม่แน่นอน และต้องใช้ระยะเวลานานในการดำเนินการ และ 6. ควรเร่งพัฒนาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่งที่เชื่อมต่อทั้งภายในและระหว่างประเทศ.