คาแรกเตอร์แมวคุณหนูสีขาวที่มาพร้อมกับโบว์บนหูซ้าย อย่าง Hello Kitty ตลอดจนตัวการ์ตูนอย่าง Kuromi, Cinnamonroll รวมไปถึง Gudetama และ Aggretsuko ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวละครตัวโปรดของใครหลายคน ซึ่งปัจจุบันตัวการ์ตูนอย่าง Hello Kitty ก็มีอายุ 50 ปีแล้ว จนอาจเรียกได้ว่าเป็นคุณน้าของเด็ก ๆ หลายคน
จะเห็นได้ว่า แม้เวลาจะผ่านไปยาวนานแค่ไหน คาแรกเตอร์เหล่านี้ก็ยังคงโลดแล่นให้เราเห็นตลอดมา กลายเป็นที่รักของคนทุกเพศทุกวัยอยู่ต่อเนื่อง จนต้องก้มหัวยอมรับความเก่งกาจของบริษัทผู้สร้าง “Sanrio” ที่มีกลยุทธ์คอยผลักดันตัวละครเหล่านี้จนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก
ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะวิธีคิดแบบฉบับ Sanrio ว่าทำอย่างไรคาแรกเตอร์ต่าง ๆ ถึงยังเป็นที่นิยม อีกทั้งยังทำยอดขายได้ต่อเนื่อง จนปีล่าสุดทำกำไรได้เพิ่มขึ้น 82% ในระยะเวลาแค่เพียง 6 เดือน
Sanrio มีจุดเริ่มต้นในปี 1960 กับธุรกิจขายสินค้าที่ระลึกในชื่อ Yamanashi Silk Center ด้วยเป้าหมายในการสื่อสารกับสังคม ต่อมาจึงมีการคิดค้นคาแรกเตอร์เป็นของตัวเองเพื่อปั้นแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์ โดยสิ่งแรกที่สร้างขึ้นมา คือ “Strawberry” อาศัยความ “คาวาอิ” น่ารักฉบับญี่ปุ่นพิมพ์ลงบนสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งสมุด กระเป๋า แก้ว ไปจนถึงจาน ชาม
หลังจากนั้นธุรกิจขายสินค้าที่ระลึกก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ มีการขยายสาขาออกไปในประเทศญี่ปุ่น จนในปี 1973 เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Sanrio Company, Ltd. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียว ก่อนที่ในปี 1974 จะเกิดคาแรกเตอร์เปลี่ยนโลกอย่าง “Hello Kitty” ขึ้นมา และขยายตลาดออกไปสู่สหรัฐอเมริกา
ต่อมา Sanrio ได้สร้างตัวละครใหม่ ๆ ขึ้นมาต่อเนื่อง และในปี 1982 ก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) และขยายอาณาจักรต่อเนื่องทั้งการออกแบบคาแรกเตอร์ใหม่ เปิดสวนสนุกธีมพาร์ค เปิดตลาดในต่างประเทศมากขึ้น ตลอดจนจับมือพาร์ตเนอร์กับแบรนด์อื่น ๆ และจัดอีเวนต์ต้อนรับแฟนคลับ
ตามวิสัยทัศน์ของ Sanrio ที่ว่า “One World, Connecting Smiles” จึงเกิดเป็นสินค้าและกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย อีกทั้งยังส่งผลให้ Sanrio กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก มีตัวละครกว่า 450 ตัว และต้องยอมรับว่าหลายตัวก็เป็นตัวโปรดที่เราเห็นกันได้ทุกวันในสินค้าตั้งแต่อุปกรณ์การเรียน ไปจนถึงการคอลแลบกับแบรนด์หรู อย่าง Balenciaga
จุดเริ่มต้นของการคอลแลบกับแบรนด์ต่าง ๆ มาจากการส่ง Hello Kitty เข้า Co-Branding กับเจ้าอื่นนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2000 โดยเริ่มจากการร่วมมือกับแบรนด์ระดับสากลและเซเลบริตี้ต่าง ๆ เช่น Swarovski, Barbour, Tarina Tarantino, Liberty และยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ร่วมมือกันตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ Balenciaga จนถึง Chloé และ Blumarine ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถดึงดูดทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ได้ แม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทายก็ตาม
นอกจากนี้ Sanrio ยังได้ปรับกลยุทธ์จากออกแบบตัวละครเพียงอย่างเดียว ก็มีการเข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์บางตัว อย่างเช่น Mr. Men and Little Miss ด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน ธุรกิจของ Sanrio ขยายไปจากผลิตภัณฑ์สินค้าไปสู่ธุรกิจบันเทิง โดยมีการผลิตคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ทั้งเกม รายการสตรีมมิ่ง และโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ Sanrio ยังมีบริษัทย่อยทั้งหมด 8 แห่ง และมีพนักงานมากกว่า 3,400 คนทั่วโลก โดยมีสินค้าหลากหลายที่จำหน่ายในกว่า 130 ประเทศ
ในปี 2024 นี้เป็นปีที่ครบรอบ 50 ปี Hello Kitty พอดี ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจยังคงต่อเนื่องไปได้ด้วยดี โดยกำไรสุทธิในช่วง 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายนเพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เป็น 19,000 ล้านเยน (หรือประมาณ 4,245 ล้านบาท)
การเติบโตนี้ได้รับแรงสนับสนุนมาจากกิจกรรมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการครบรอบ 50 ปี Hello Kitty รวมถึงรายได้จากการอนุญาตลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกาและจีนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวละครใหม่ ๆ นอกเหนือจาก Hello Kitty ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในส่วนของยอดขายในปี 2024 พบว่า อยู่ที่ 62,800 ล้านเยนหรือประมาณ 13 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 43.0% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว) ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 23,500 ล้านเยนหรือกว่า 5 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 77.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว)
โดยโมเดลธุรกิจในการหารายได้ของ Sanrio ตามข้อมูลของบริษัท พบว่า มาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่
นอกจากนี้แล้ว Sanrio ยังสนับสนุนทางการศึกษาผ่านสินค้าอุปกรณ์การเรียน อีกทั้งยังมีโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มโรบอท ตลอดจนร้านอาหารและคาเฟ่อีกด้วย
ที่มา: Sanrio [1][2][3], Nikkei Asia, Hypebae, Business Focus
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney