ช่วงที่ผ่านมาหลายฝ่ายจับตาการเติบโตของตลาดสินค้าหรูหราในประเทศไทยที่สะท้อนถึงศักยภาพตำแหน่งของ “ไทย” ในการเป็นศูนย์กลางใหม่ของภูมิภาค ทั้งในฝั่งของผู้บริโภคและแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลกที่เข้ามาลงทุนและเพิ่มความเข้มข้นในการทำตลาดด้วยมูลค่ามหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวคอนเซ็ปต์สโตร์สุดตระการตาในกรุงเทพมหานคร การจัดกิจกรรมรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในหลายพื้นที่
และหนึ่งในนั้น คือ “Bulgari” (บูลการี) แบรนด์เครื่องประดับระดับโลกจากเครือ LVMH ที่ล่าสุดได้จัดงานดินเนอร์เปิดตัว “Bulgari Tubogas” หนึ่งในงานฝีมืออันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุดของแบรนด์ในกรุงเทพมหานคร หลังเปิดตัวครั้งแรกที่นิวยอร์กซิตี้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีเซเลบริตี้และ Friend of The House จากทั่วเอเชียมาร่วมงานพร้อมด้วย “ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล” แบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกหญิงเพียงหนึ่งเดียวของ Bulgari
ในโอกาสเดินทางมาเยือนกรุงเทพฯ ครั้งนี้ Thairath Money คอลัมน์พิเศษ BrandStory Exclusive มีโอกาสได้พูดคุยกับ Jean-Christophe Babin (ฌอง-คริสตอฟ บาบิน) ซีอีโอของ Bulgari ถึงเรื่องราวของ ‘ประเทศไทย’ ตั้งแต่ความแข็งแกร่งของไทยในตลาด Luxury Market ที่กำลังกลายเป็น ‘หมุดหมายใหม่’ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึง ‘ลิซ่าโมเมนต์’ ในฐานะศิลปินสาวชาวไทย ผู้สร้างตำนาน ‘Global Brand Ambassador’ ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
หลายคนรู้จักเขาในฐานะเจ้าพ่อวงการนาฬิกาหรู ผู้อยู่เบื้องหลังการฟื้นคืนชีพแบรนด์นาฬิการะดับไฮเอนด์ที่ล้ำหน้าที่สุดอย่าง “Tag Heuer” แทค ฮอยเออร์ ให้กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาสวิสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ก่อนได้รับความไว้วางใจให้มารับตำแหน่งผู้นำแบรนด์จิวเวลรี่หรูสัญชาติอิตาลีที่ครองใจคนทั่วโลกมายาวนานถึง 140 ปี
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเคลื่อนไหวที่สุดประเทศหนึ่งสำหรับ Bulgari โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากปี 2021 ช่วงที่การแพร่ระบาดโควิดเริ่มคลี่คลาย แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่ขณะเดียวกันผลประกอบการของ Bulgari ในหมู่คนไทยกลับมีแนวโน้มที่ดีและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม High jewelry ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น
Babin กล่าวว่า หากพูดถึงอุตสาหกรรมลักชัวรี่ในเมืองไทยตอนนี้ ไทยกำลังถูกมองว่าเป็น “ตลาดน้องใหม่” ปัจจุบันขนาดตลาดของประเทศไทยสามารถเทียบเท่าได้กับสิงคโปร์แล้วและยังมีศักยภาพเพียงพอที่จะก้าวสู่การเป็นตลาดลักชัวรี่อันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ต่างจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ก้าวสู่อุตสาหกรรมนี้ก่อนใครในภูมิภาค
กรุงเทพมหานคร คือ ศูนย์กลางของแบรนด์ลักชัวรี่ และจะเป็นต่อไป แต่ความน่าสนใจในช่วงที่ผ่านมานี้ การเปิดตัวร้านหลากหลายรูปแบบในไทย ไม่ว่าจะเป็นแฟลกชิปสโตร์ คอนเซปต์สโตร์ หรือไดเร็คสโตร์ ไม่เพียงแต่กระจุกตัวอยู่แต่ในกรุงเทพฯ แต่แบรนด์ยังสนใจที่ขยับขยายไปสู่จังหวัดอื่นอย่างเช่น ภูเก็ต ที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นดีที่เป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ
“สำหรับประเทศไทย ความหลากหลายของพื้นที่ทำให้ไทยมีจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากและมากไปกว่านั้นไทยรุ่มรวยเอกลักษณ์ศิลปะวัฒนธรรม ทำให้ไทยสามารถพัฒนาพื้นที่อื่นให้กลายเป็นจุดหมายของตลาดลักชัวรี่ได้ต่อ นอกจากนี้สังคมไทยยังเปิดรับชาวต่างชาติ ความใจดีและเปิดกว้างของคนไทยได้รับการชื่นชมจากทั่วโลกอยู่บ่อยครั้ง”
เมื่อถามถึงผู้บริโภคในไทย Babin กล่าวว่า อันดับแรกคนไทยสนใจและโปรลักชัวรี่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งหมวดหมู่เครื่องประดับ กระเป๋า น้ำหอม โดยเฉพาะความหลงใหลในนาฬิกาและจิลเวลรี่ซึ่งเป็นสินค้าหลัก ๆ ของ Bulgari ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากแบรนด์ได้ร่วมงานกับ “ลิซ่า” ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ‘Global Brand Ambassador’ ของ Bulgari ในเดือนกรกฎาคมปี 2020 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างนาฬิการุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นจากคอลเลกชัน Bulgari Bulgari อีกด้วย
Babin ระบุว่า ลิซ่าสามารถเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์ Bulgari กับคนไทยได้เป็นอย่างดี เพราะเธอเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จและเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย จากที่เดิมทีแบรนด์แอมบาสเดอร์จะเป็นคนอเมริกันและยุโรป ซึ่งคนไทยไม่คุ้นเคย
หากพูดถึงความสำเร็จหลังจากการได้ลิซ่ามาเป็น ‘Global Brand Ambassador’ ที่ชัดเจนที่สุด คือ การเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับความรู้สึกของผู้คนได้โดยตรง เธอสร้าง Emotional Bonding ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้โดยตรงไม่เพียงแต่ลูกค้าชาวไทยแต่เป็นทั่วโลก
“ความนิยมในตัวลิซ่านับเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกเธอดึงดูดคนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่กลุ่ม Millennials ที่นับเป็นแฟนคลับกลุ่มใหญ่ของเธอไปจนถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างกลุ่ม Gen Z ซึ่งทำให้สัดส่วนกลุ่มลูกค้าของ Bulgari เป็นกลุ่มที่เด็กขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”
เมื่อถามถึงเรื่องศักยภาพของไทยจะก้าวข้ามอุปสรรคที่ท้าทายหลังจากนี้อย่างไร Babin ชี้ให้เห็นว่า ในปีถัดไปตลาดลักชัวรี่ในไทยอยู่ในจุดที่ปลอดภัย โดยยปัจจุบันยอดซื้อของคนไทยมีอัตราที่สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การบริโภคลักชัวรี่ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
เพียงแต่ว่า จิ๊กซอว์ที่ยังขาดหายไป คือ การกลับมาของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนแบบเต็มจำนวน พิจารณาจากสัดส่วนนักท่องเที่ยวในปีนี้ที่ยังไม่กลับมาเทียบเท่าจำนวนในช่วงก่อนโควิด ทำให้กำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักหดตัว
โดย Babin มองแง่ดีเกี่ยวกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมแบรนด์หรูทั่วโลก แม้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากมหภาค อย่างภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์และการชะลอตัวของตลาดจีนที่ยังไม่ฟื้นกำลังเต็มที่ อย่างไรก็ตามตนมองว่าในปีหน้าตลาดลักชัวรี่ไทยจะฟื้นตัวเต็มที่มากกว่าปีนี้ จากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
รวมถึงข้อตกลงในการงดเว้นใช้วีซ่าสำหรับทั้งสองประเทศที่จะช่วยกระตุ้นการเดินทางระหว่างจีนและไทย ซึ่งไม่ใช่นักท่องเที่ยวจากเมืองหลักอย่างปักกิ่ง เฉิงตู เซี่ยงไฮ้ เท่านั้น แต่ปัจจุบันเที่ยวบินที่มาจากเมืองรองยังเป็นที่นิยมมากขึ้น จุดนี้จะช่วยเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวขาเข้าจากจีนให้สูงขึ้นกว่าที่เคยมีมาและนับเป็นข้อดีที่จะกระตุ้นความคึกคักให้กับตลาดในปีถัดไป
นอกจากนี้เขาชี้ให้เห็นว่าหลังจากโควิดตลาดกำลังรีบาลานซ์หรือปรับสมดุลที่มาของนักท่องเที่ยว แม้ว่าจะจีนจะเป็นกำลังซื้อหลักแต่ผู้ขายในไทยไม่ได้พึ่งพาแค่นักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวอีกต่อไปแล้ว นักท่องเที่ยวจากตะวันตก อเมริกันและยุโรป ล้วนเป็นนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงที่มีสัดส่วนในไทยเยอะไม่แพ้กัน
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -