สายทำอาหารและสายแต่งบ้านคงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์นี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฏตัวในภาพยนตร์ ซีรีส์ และช่องยูทูปของนักรีวิว เชฟและเซเลบริตี้ทั่วโลก กำลังทำให้ SMEG กลายเป็นไอเท็มแต่งบ้านชิ้นสำคัญที่หลายคนหมายตา โดยเฉพาะตู้เย็นสีสันสดใสสไตล์วินเทจราคาหลักแสนที่ขึ้นแท่นเป็นตู้เย็นในฝันของใครหลายคนในตอนนี้
Thairath Money คอลัมน์ BrandStory ครั้งนี้พาไปรู้จักกับ SMEG “สเม็ก” แบรนด์อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องครัวชื่อดังจากอิตาลี ย้อนเส้นทาง 70 กว่าปีของตระกูล Bertazzoni ที่เชี่ยวชาญด้านการตีเหล็ก สู่แบรนด์เครื่องครัววินเทจสุดหรู เบื้องหลังแนวคิดการออกแบบที่ไม่ได้มีดีแค่เรื่องความสวยงามแต่ยังเต็มไปด้วยคุณภาพที่ทำให้หลายคนยอมจ่ายเงินลงทุน
SMEG ก่อตั้งขึ้นในปี 1948 ที่เมือง Guastalla ประเทศอิตาลี โดยตระกูลช่างตีเหล็กที่เชี่ยวชาญด้านโลหะนำโดย Vittorio Bertazzoni ผู้ก่อตั้งที่ได้นำเอาความรู้ความเชี่ยวชาญมาเริ่มต้นผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อขายให้กับคนในยุคนั้นที่ประเทศเริ่มฟื้นฟูจากสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เศรษฐกิจเริ่มกลับรุ่งเรืองและผู้คนเริ่มกลับมามีวิถีชีวิตปกติ
SMEG ย่อมาจาก “Smalterie Metallurgiche Emiliane Guastalla” โรงงานตีเหล็กแห่งหมู่บ้าน Guastalla แห่งเมือง Emilia ซึ่งบ่งบอกถึงบ้านเกิดของแบรนด์นั่นเอง โดยต่อมาไม่นานก็เปิดตัวชุดเตาทำอาหาร หรือ Cookers รุ่น Elizabeth สินค้าชิ้นแรกภายใต้แบรนด์ SMEG ที่โดดเด่นกว่าใครในตลาด เพราะฟังก์ชันที่ตอบโจทย์แบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นก็คือ การรวมเอาเตาอบและเตาปรุงอาหารไว้ด้วยกัน โดยด้านบนเป็นเตาปรุงอาหาร ด้านล่างเป็นเตาอบที่มาพร้อมกับระบบไฟอัตโนมัติ
ต่อมาในช่วงปลายทศวรรษที่ 50 SMEG ก็เริ่มขยายการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สร้างความว้าวให้กับตลาดในยุคนั้นหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องซักผ้ารุ่น LEDA เครื่องล้างจานรุ่น Niagara ที่ใส่จานชามแก้วได้ถึง 14 ชิ้นภายในทีเดียว ต่อเนื่องด้วยเครื่องครัวแบบบิวท์อินสำหรับอุตสาหกรรม โดยหลังจากนั้นจากเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ SMEG ก็เริ่มขยายสู่การผลิต Home Appliance ขนาดเล็กอย่างเครื่องทำกาแฟ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และเครื่องปิ้งขนมปัง เป็นต้น
จากฝีมือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของตระกูล Bertazzoni ทำให้สินค้าของ SMEG ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนานรุ่นต่อรุ่น นอกจากนี้การตีเหล็กให้ออกมาได้โค้งมนสวยงามแบบนี้ ต้องผ่านการออกแบบร่วมกับการผลิตขั้นสูง ซึ่งไม่ใช่ใครก็ทำได้ ทำให้ SMEG ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จากการยอมรับทั้งด้านคุณภาพการผลิต วัสดุ และรสนิยมในการออกแบบ กล่าวคือ นอกจากประโยชน์ใช้สอยที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนแล้ว SMEG ยังขึ้นชื่อว่าเครื่องครัวที่มีเทสต์จนถึงขั้นที่ทำให้ลูกค้าบอกต่อกันปากต่อปากว่า เพียงแค่มีสินค้า SMEG อยู่ในห้อง ห้องๆ นั้นก็จะสวยขึ้นมาทันที
SMEG ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยก่อนที่ดูดุดัน ใหญ่เทอะทะ ไม่น่ามอง มีดีไซน์ที่ทันสมัย เรียบหรู น่ามองมากยิ่งขึ้น ผ่านงานออกแบบ เพราะเชื่อว่า นอกจากความทนทานแล้ว ความสวยงามยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเลือกซื้อสินค้า
โดยดีไซน์สุดสร้างสรรค์ของ SMEG ที่เราเห็นแต่ละคอลเล็กชันได้แรงบันดาลใจมาจากยุคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามแบบคลาสสิกในยุค 50's ที่ยกกลิ่นอายฉบับเรโทรที่มาพร้อมกับสีสันสดใส การเลือกใช้สีพาสเทล เขียว ชมพู ครีม ผสมผสานไปกับสไตล์อินดัสเทรียล ถูกออกแบบอย่างบรรจงผ่านการทำงานร่วมกันกับสถาปนิกและนักออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ จนถึงขั้นที่ SMEG ถูกยกย่องว่านี่คือศิลปะในรูปแบบของเครื่องครัวกันเลยทีเดียว การันตีด้วยรางวัลมากมายด้านการออกแบบจากเวทีต่างๆ
ตัวอย่างเช่นในยุคแรก Mario Bellini สถาปนิกชาวอิตาลีผู้คร่ำหวอดในวงการการออกแบบ ก็เป็นอีกท่านที่ได้เข้ามาร่วมออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า SMEG ในซีรีส์ที่ชื่อว่า Contemporary ซึ่งประกอบไปด้วยเตาทำอาหารหลากหลายประเภทที่นำเสนอลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ เน้นรูปทรงที่มีความเป็นอิสระ โค้งมนแบบไร้ขีดจำกัด ภายใต้แนวคิดร่วมสมัย ทำให้ผลงานของ Mario Bellini สามารถเข้าได้กับคนทุกยุค และเป็นที่นิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
Guido Canali อีกหนึ่งสถาปนิกชาวอิตาลีที่ได้มาร่วมออกแบบชุดเตาอบคอลเลกชัน Classic ในปี 1985 ผลงานของเขาสะท้อนถึงความเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความงามสง่าเข้ากับยุคสมัย โดยเขายังเป็นผู้ที่ออกแบบสำนักงานใหญ่ของ SMEG ซึ่งตั้งอยู่ที่อิตาลีอีกด้วยที่เป็นสัญลักษณ์ของ SMEG นอกจากนี้ยังมี Marc Newson และ Renzo Piano อีกหนึ่งนักออกแบบที่มาร่วมออกแบบเตาอบที่สร้างผลงานหัวเตาแก๊สที่เป็นไอคอนิก โดยสินค้าที่เขาได้ออกแบบนั้นอยู่ในซีรีส์ที่มีชื่อว่า The Piano Design
โดยต่อมาในยุคต่อมาที่รับช่วงต่อโดยทายาทรุ่นที่สอง Vittorio Bertazzoni Jr. ก็เริ่มเดินหน้าต่อกับกลยุทธ์คอลแล็บกับดีไซเนอร์เพื่อสร้างภาพจำใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ อย่าง Dolce & Gabbana และ Supreme ทำลวดลายสำหรับคอลเล็กชันพิเศษให้กับแบรนด์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการนำสุนทรียศาสตร์ของสถาปัตยกรรมมาใช้กับผลิตภัณฑ์ภายในบ้าน โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้ SMEG มีดีไซน์ที่เรียบหรูและใช้งานได้จริง ได้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญของแบรนด์ตั้งแต่เตาอบ เตาแก๊ส ตู้เย็น ไปจนถึงเครื่องล้างจาน ที่แม้แต่จะวินเทจแต่กลับสง่างามเหนือกาลเวลา
ในบรรดาสินค้า SMEG สิ่งที่เป็นภาพจำที่สุด คือ ตู้เย็นสไตล์ 50's Retro รุ่น Fab ที่เปิดตัวมาในปี 1997 ด้วยรูปทรงโค้งมน วินเทจ และสีสันสดใสได้รับแรงบันดาลใจจากสีสันที่สดใสและความหวังในยุค 50'sที่เต็มไปด้วยความคิดริเริ่มและนวัตกรรมต่างๆ ที่น่าตื่นเต้น ทำให้ตู้เย็น รุ่น Fab ผสมผสานความทรงจำในยุคเก่าเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่อย่างลงตัว
ทำให้ตู้เย็นของ SMEG กลายเป็นไอคอนิกไอเท็มของห้องครัวที่หลายคนในใฝ่ฝัน อีกทั้งราคาขายซึ่งเริ่มต้นที่ 2 แสนบาทก็ได้ทำให้ตู้เย็นและชบวนสินค้าประเภทอื่นๆ ของ SMEG ที่ราคาสูงไม่แพ้กันกลายเป็นไอเท็มบ่งบอกสถานะโดยปริยาย
อ้างอิง SMEG
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -