ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการควบรวมกิจการระหว่าง GULF และ บมจ.อินทัช โฮลดิ้ง (INTUCH) โดยภายหลังการประชุม ล่าสุด บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์นั้น นายสารัชถ์ให้ข้อมูลว่า ประสิทธิภาพการดำเนินงานของ NewCo จะเพิ่มขึ้น และมีโครงสร้างที่ชัดเจน โดย NewCo จะเป็นบริษัทมหาชนแห่งแรกของไทยที่ดำเนินงานเต็มรูปแบบในระบบนิเวศของพลังงานสีเขียว บริการเทคโนโลยีคลาวด์ และผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ โดยจะได้รับประโยชน์จากความต้องการไฟฟ้าที่สูงขึ้นและแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากความเชี่ยวชาญหลักของ GULF คือธุรกิจพลังงานและความเชี่ยวชาญหลักของ ADVANC คือศูนย์ข้อมูล สิ่งนี้ช่วยให้ใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางธุรกิจที่มีอยู่กับ Google และ Oracle ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายสารัชถ์ระบุว่า พลังงานยังคงเป็นธุรกิจหลักภายใต้ NewCo คิดเป็นราว 80% ของรายได้รวม ดังนั้น หุ้น NewCo จะถูกจัดอยู่ในหมวด พลังงาน ขณะที่นายสารัชถ์เห็นว่า INTUCH มีสภาพคล่องต่ำและมีความยืดหยุ่นทางธุรกิจน้อย ดังนั้นเชื่อว่าการควบรวมจะช่วยปลดล็อกธุรกิจของ INTUCH
สำหรับด้านฐานะการเงินนั้น นายสารัชถ์ ระบุในงานว่า ความสามารถในการก่อหนี้จะเพิ่มขึ้นหลังการควบรวม โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/67 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของ GULF และ INTUCH อยู่ที่ 1.7 เท่า และ 0.9 เท่า หลังการควบรวม NewCo จะมี D/E ลดลงเหลือประมาณ 0.9 เท่า ต่ำกว่าข้อกำหนดของธนาคารที่ 3.5 เท่า และเกณฑ์การควบรวมที่ 2.0 เท่า ผลที่ตามมาคือ NewCo จะมีวงเงินกู้เพิ่มเติม 1.5-2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ INTUCH จะจ่ายเงินปันผลให้ GULF เท่ากับ 4.5 บาทต่อหุ้น (รวม 6,800 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากเงินกู้ระยะสั้น) ซึ่ง GULF จะนำเงินปันผลที่ได้รับไปชำระคืนหนี้ ส่งผลให้งบดุลของ NewCo จะมั่นคงยิ่งขึ้น
ขณะที่กระแสเงินสดสุทธิจะเพิ่มขึ้น จากการถือหุ้นเพิ่มขึ้นใน ADVANC โดย NewCo จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน ADVANC จากก่อนการควบรวมถืออยู่ 19% (ถือหุ้นทางอ้อม)เพิ่มขึ้นเป็น 40% หลังการควบรวมส่งผลให้ NewCo ได้รับประโยชน์ดังนี้ 1.จะรับรู้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สูงขึ้นราว 5,000 ล้านบาท/ปี เป็นประมาณ 10,000ล้านบาท/ปี 2.กำไรสุทธิที่สูงขึ้นราว 2,000 ล้านบาท/ปี หลังจากรวมค่าตัดจำหน่ายคลื่นความถี่ 14 ปี 4,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่การเป็นผู้ถือหุ้น INTUCH ปัจจุบันยังคงมีสิทธิได้รับเงินปันผลจากการดำเนินงานปกติปี 68 เนื่องจากกระบวนการจะใช้เวลาพอสมควร ดังนั้น การควบรวมอาจเสร็จสิ้นกลางปี 68 ซึ่งโครงสร้างและนโยบายจ่ายเงินปันผลจะถูกตัดสินใจโดยคณะกรรมการชุดใหม่
ขณะที่ บล.ทิสโก้ มีมุมมองเชิงบวกต่อ GULF จากการประกาศควบรวมกับ INTUCH ตั้งเป็นบริษัทใหม่ ทำให้มีมูลค่าตลาดโดยประมาณ 6.24 แสนล้านบาท หลังควบรวมหนุนงบดุลดีขึ้นและต้นทุนทางการเงินลดลง สอดคล้องกับ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ที่ประเมินว่าจะส่งผลให้มูลค่ามาร์เกตแคปบริษัทใหม่ อยู่ที่ราว 6.2-6.5 แสนล้านบาท ติดอันดับท็อป 5 ของตลาดหุ้นไทย แซงหน้า บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่เดิมอยู่อันดับที่ 5 มูลค่า 5.77 แสนล้านบาท.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่