กังวลในประเทศ!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 11 ต.ค.59 ปิดที่ 1,442.21 ลดลง 14.81 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 65,340.17 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 513.18 ล้านบาท กองทุนในประเทศขายสุทธิ 3,345.21 บาท, โบรกเกอร์ ขายสุทธิ 1,027.9 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยซื้อสุทธิ 4,886.32 ล้านบาท

หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด BANPU ปิด 16.20 บาท ลบ 0.30 บาท, PTT ปิด 337 บาท บวก 2 บาท, AOT ปิด 380 บาท ลบ 10 บาท, CPALL ปิด 59.75 บาท ลบ 1.75 บาท และ BCPG ปิด 12.70 บาท บวก 0.20 บาท

หุ้นไทยยังคงผันผวนสูง หลังปัจจัยเฉพาะตัวภายในประเทศกดดัน แถมกดค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ขณะที่ข่าวการประกาศเตือนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานความมั่นคง ถึงการก่อเหตุวินาศกรรมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงวันที่ 25-30 ต.ค.59 ยังเป็นตัวกดดันจิตวิทยาการลงทุน!!

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินตลาดระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวลงได้ต่อ ประเด็นที่มีอิทธิพลคือปัจจัยกดดันเฉพาะตัวในประเทศ และเงินบาทอ่อนค่าบ่งชี้ว่ากระแสเงินทุนต่างชาติไหลออก แนะกลยุทธ์ชะลอการลงทุน ลดพอร์ตหุ้นที่มีความเสี่ยงผันผวนไปกับภาวะตลาดโดยรวม

บล.กสิกรไทยให้จับตาการเคลื่อนไหวของเงินบาทเป็นปัจจัยหลักในการขับ Fund Flow ไหลออก โดยมีสัญญาณลบจากการแข็งค่าของ US Dollar ซึ่งกำลังซึมซับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก่อนสิ้นปี อีกปัจจัยคือความกังวลเกี่ยวกับวินาศกรรมในกรุงเทพฯ หลัง สตช.เตือนว่ามีการเตรียมทำ Car Bomb 3 จุดในกรุงเทพฯ

มองเงินบาทระยะสั้นมีโอกาสไปเกิน 35.5 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นการบีบให้ต่างชาติขายทำกำไร โดยต่างชาติมียอดสะสมที่ซื้อไว้ตั้งแต่ 15 ก.พ.-ปัจจุบันกว่า 1.5 แสนล้านบาท ทุนที่ระดับดัชนีเฉลี่ย 1,457 จุด หากมีการขายตัดขาดทุนคาดว่าจะเป็นตัวกดดันทำให้ดัชนีลงหนักได้ ด้านเทคนิค ตลาดลงด้วย Momentum ขาลงที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้การฟื้นตัวจาก 1,450 จุด ยังไม่น่าจะยั่งยืน

การเข้ารับดัชนีจึงยังคงต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างสูง หากหลุดจาก PER 14 เท่า ด่านต่อไปที่สามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้คือ Expected PER 13 เท่าที่ 1,337 จุด

ทั้งนี้ จังหวะตลาดปรับฐานใหญ่ สามารถรอสะสมหุ้นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้นคือ SCB-BLA และหุ้น Growth Stock ชอบ MEGA-CPALL รวมทั้งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า KCE-DELTA!!

อินเด็กซ์51