เปิดปมขัดแย้ง ศึกสายเลือดตระกูลณรงค์เดช “เกษม ณรงค์เดช” ควง 2 ลูกชาย “กฤษณ์-กรณ์” แถลงข้อเท็จจริง กรณีหุ้น วินด์เอนเนอร์ยี่ และคดีความฟ้องร้องลูกชายคนกลาง “ณพ ณรงค์เดช” และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่บ้านณรงค์เดช ซอยสุขุมวิท 49 นายเกษม ณรงค์เดช พร้อมด้วยบุตรชาย 2 คนคือ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ลูกชายคนโต นายกรณ์ ณรงค์เดช ลูกชายคนเล็ก พร้อมด้วยทีมที่ปรึกษากฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ได้ร่วมกันแถลงข่าวข้อเท็จจริงกรณีหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ (WEH) กับครอบครัวณรงค์เดช รวมถึงข่าวที่เกี่ยวกับคดีที่ นายเกษม ฟ้องดำเนินคดีอาญากับ นายณพ ณรงค์เดช ลูกชายคนกลาง และ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ภรรยาของ พลตำรวจเอกพจน์ บุณยะจินดา อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งเป็นมารดาภรรยาของ นายณพ ณรงค์เดช และ นายสุรัตน์ จิรจรัสพร ฐานความผิดร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม
โดย นายเกษม กล่าวว่า ที่ผ่านมามีข่าวที่เกี่ยวกับตัวผมและครอบครัวผมมากมาย ซึ่งหลายอย่างไม่ตรงข้อเท็จจริง หรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปมาก ทำให้ชื่อเสียงครอบครัวเสียหาย โดยตระกูลเราตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ทำกิจการการค้า และใช้เวลานานในการสร้างอาณาจักรของเรา แต่ข่าวต่างๆ ที่ออกมาทำให้เกิดความเข้าใจผิด หากปล่อยไปโดยไม่ชี้แจงให้สังคมทราบข้อเท็จจริงแล้ว จะทำให้เกิดความเสียหาย ไม่เพียงแต่ความเสียหายต่อตระกูล และชื่อเสียงธุรกิจของเราเท่านั้น ยังพาดพิงถึงบุคคลอื่น รวมทั้งผู้ถือหุ้นให้ได้รับความเสียหายไปด้วย
“ปีนี้ผมอายุ 83 ปีแล้ว ยังดูแลตัวเองให้มีความแข็งแรง ออกกำลังกายทุกเช้า เพื่ออยู่ดูแลลูกหลานไปนานๆ และช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจที่ได้ยกให้รุ่นลูกเข้ามาดูแล ผมยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นบุคคลที่ไม่รู้เรื่อง หลงลืม หรือเป็นอัลไซเมอร์ ตามที่มีคนพยายามกล่าวหา และผมรู้สึกว่าไม่แฟร์ต่อครอบครัวตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ที่ทำมา หากไม่เอาข้อเท็จจริงมาชี้แจง ข่าวที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในตระกูลผม ซึ่งทำธุรกิจมานาน 40-50 ปี มีบริษัทในเครือกว่า 40 บริษัท และไม่เคยมีประวัติคดโกงใคร ซึ่งการเปิดแถลงข่าวในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ออกมาพูดกับสื่อ เพราะอดทนอดกลั้นมานาน โดยเป็นการชี้แจงพร้อมกับด้วยเอกสารหลักฐานที่ยืนยันได้ 100%” นายเกษม กล่าว
นายเกษม กล่าวพร้อมกับนำใบรับรองผลการตรวจสุขภาพ จากโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่เป็นผลการตรวจลงวันที่ 13 พ.ย.61 ออกมาให้สื่อมวลชนดู โดยระบุว่า มาพบแพทย์เพื่อรับการประเมินสุขภาพจิตเพื่อประกอบการทำพินัยกรรม โดยผลการวินิจฉัยระบุว่า “อยู่ในเกณฑ์ปกติที่สามารถทำนิติกรรมได้ตามความประสงค์ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติวิสัย สามารถเขียนลายมือชื่อได้ตามปกติ”
หลังจากนั้น นายเกษม ได้ให้บุตรชายทั้ง 2 และทนายความชี้แจงถึงการซื้อขายหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ กับครอบครัวณรงค์เดช ที่มีปัญหา จนนำไปสู่ความแตกแยกขัดแย้งของครอบครัวพี่น้อง และนำไปสู่การฟ้องร้อง นายณพ บุตรชายคนรอง และคุณหญิงกอแก้ว ว่า เริ่มต้นในช่วงปี 2558 จากการที่นายณพได้ขอให้ครอบครัวร่วมลงทุนเข้าซื้อหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อให้ธุรกิจ วินด์ เอนเนอร์ยี่ เป็นอีกธุรกิจหนึ่งของครอบครัวณรงค์เดช เมื่อครอบครัวตกลงร่วมลงทุนตามที่ นายณพ ชักชวน ครอบครัวได้จัดหาเงินและทรัพย์สินหลายรายการให้แก่นายณพ รวมมูลค่าเกือบ 3,000 ล้านบาท และทำให้มีชื่อเข้ามาถือหุ้นในวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ 59.46% ซึ่งข้อตกลงระหว่าง นายณพ กับสมาชิกในครอบครัว มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ นายณพ ยังใช้ชื่อเสียงของกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น และชื่อเสียงของนายเกษม ไปอ้างอิงในการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ต่อบุคคลภายนอกว่า การดำเนินการเหล่านั้นเป็นการดำเนินการภายใต้ กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น ทั้งสิ้น และยังได้ใช้ชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดช ไปยืมเงินคนอื่นที่เป็นเงินนอกระบบอีกด้วย โดยที่ไม่ได้รายงาน หรือชี้แจงรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับการลงทุนให้ครอบครัวได้รับทราบเลย
จนกระทั่งในช่วงต้นปี 2561 ราวเดือน ก.พ. สมาชิกในครอบครัว อันประกอบไปด้วย นายเกษม ผู้พ่อ และนายกฤษณ์ พี่ชายคนโต ได้รับหมายศาลว่า ตนถูกฟ้องเป็นคดีอาญาร่วมกับนายณพ ฐานโกงเจ้าหนี้ สืบเนื่องจากการที่ นายณพ ไปผิดสัญญาซื้อขายหุ้น และไม่ชำระเงินค่าหุ้นของบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ทั้งยังดำเนินการให้มีการยักย้ายจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ ออกไปยังที่ต่างๆ
ซึ่งการถูกฟ้องร้องเป็นคดีความดังกล่าว สร้างความกังวล และนำมาซึ่งความเสียหายต่อชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดชเป็นอย่างมาก ครอบครัวจึงได้ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า ไม่เกี่ยวข้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อการดำเนินการใดๆ ของ นายณพ ทั้งสิ้น
หลังจากถูกฟ้องไม่นาน ต่อมาเดือน พ.ค.2561 นายเกษม ได้รับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลฮ่องกง ห้ามมิให้บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด (บริษัทในฮ่องกง) โอนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ไปยังบุคคลอื่น และจากคำสั่งดังกล่าว ทำให้ นายเกษม ทราบว่าตนเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด
เมื่อทราบความดังกล่าว นายเกษม จึงต้องการที่จะปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลฮ่องกงโดยเคร่งครัด เนื่องจากไม่ต้องการให้ปัญหาที่เกิดขึ้นบานปลายออกไปอีก และต้องการที่จะแก้ไขปัญหา ตลอดจนหาข้อยุติในเรื่องนี้ให้เป็นไปได้ด้วยดีสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของครอบครัว เจ้าของหุ้นเดิม และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ในบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ด้วย นายเกษม จึงขอให้บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ทำการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อบอกกล่าวความประสงค์ของตนให้กับผู้ถือหุ้นและกรรมบริษัทฯ ทราบ
แต่ยังไม่ทันได้มีการเรียกประชุม กลับปรากฏว่า คุณหญิงกอแก้ว นายณพ และนายสุรัตน์ ได้ร่วมมือกันใช้เอกสารปลอม อันได้แก่สัญญาแต่งตั้งตัวแทนที่อ้างว่า ได้ทำขึ้นระหว่าง คุณหญิงกอแก้ว กับ นายเกษม ฉบับลงวันที่ 25 เมษายน 2559 โดยมี นายณพ ลงนามเป็นพยาน สำเนาตราสารการโอนหุ้น และสำเนาใบสำคัญการซื้อขายหุ้นระหว่าง นายเกษม กับ คุณหญิงกอแก้ว เพื่อดำเนินการโอนหุ้นทั้งหมดที่นายเกษมถืออยู่ในบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ไปให้ คุณหญิงกอแก้ว เพื่อขัดขวางไม่ให้การดำเนินการของนายเกษมที่ตั้งใจไว้ข้างต้นบรรลุผล
ซึ่งในกรณีนี้ นายเกษม ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า เอกสารทั้งหมดล้วนเป็นเอกสารปลอมทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผลใดที่ตนจะต้องไปเซ็นสัญญาเป็นตัวแทนให้กับคุณหญิงกอแก้ว นอกจากนี้ นายเกษม ยังได้นำลายมือชื่อที่แท้จริงของตนและรายงานการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรมและผู้เชี่ยวชาญของต่างประเทศเปรียบเทียบกับลายมือชื่อปลอมให้ผู้สื่อข่าวดูด้วย
“ผมเป็นผู้บริหารธุรกิจ มีบริษัทในเครือที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ทำไมต้องไปทำสัญญาเป็นตัวแทนให้คุณหญิงกอแก้วที่มีอาชีพเป็นแม่บ้านด้วย มันไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่จะไปทำเช่นนั้น ที่จะไปโอนหุ้นท่ีเดิมอยู่ในชื่อของเคพีเอ็น เอนเนอร์ยีฯ แล้วไปโอนให้คุณหญิงกอแก้ว โดยที่ผมเข้าไปเป็นผู้รับใช้ เป็นตัวแทนถือหุ้นให้ก่อน”
แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างการดำเนินคดีความต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ นายเกษมกลับพบอีกว่า มีเอกสารปลอมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นใน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่มาพบในภายหลังอีกหลายฉบับ หนึ่งในนั้นคือสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอร์ยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขายหุ้นให้กับ นายเกษม ในราคาเพียง 2,400 ล้านบาท ก่อนที่หุ้นจะถูกโอนต่อไปอีกทอดยังบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ที่ฮ่องกง ทั้งที่หุ้นจำนวนเดียวกันดังกล่าว นายณพ ได้เคยตกลงซื้อจากเจ้าของเดิม เป็นจำนวนเงินถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 21,000 ล้านบาท นายเกษม จึงตกลงใจที่จะยุติการดำเนินคดีที่ฮ่องกง เพราะเมื่อสัญญาโอนหุ้นจากต้นทางเป็นสัญญาปลอม การดำเนินการเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ เอากับหุ้นที่ได้มาหลังจากนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป นายเกษม ยืนยันว่าหลังจากนี้จะดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดที่ปลอมลายมือชื่อของตนอย่างถึงที่สุด
สำหรับคดีอาญาที่ นายเกษม ฟ้องอาญา คุณหญิงกอแก้ว นายณพ และ นายสุรัตน์ ในฐานความผิดร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ศาลชั้นต้นมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนั้น ครอบครัวณรงค์เดชและทนายความได้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า คดีความดังกล่าวเป็นคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง และศาลใช้เวลาในการไต่สวนพยานเพียง 2 วัน ไม่ใช่หลายเดือนตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งคำพิพากษาของศาลก็ไม่ได้กล่าวว่าลายมือชื่อของนายเกษม ในเอกสารพิพาทเป็นลายมือชื่อจริง โดย นายเกษม ได้มอบหมายให้ทนายความเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลแล้ว
ทั้งนี้ สำหรับลายมือชื่อที่ปรากฏในเอกสารทั้งหมดนั้น นอกจาก นายเกษม จะยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของศาลยุติธรรม ที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์เอกสารมานานถึง 48 ปี ติดต่อกัน ได้มีความเห็นยืนยันว่า ลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารเหล่านั้นไม่ใช่ลายมือชื่อของนายเกษม ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์กว่า 55 ปี และเป็นผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อในคดีที่โด่งดังจำนวนมาก ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา ได้จัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ตามหลักมาตรฐานสากลกว่า 190 หน้า พร้อมภาพสีกราฟิกเทียบเคียงตัวอย่างลายมือชื่อที่แท้จริงของนายเกษม จำนวน 52 ลายมือชื่อ กับลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารปลอมต่างๆ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
นายเกษม กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจและเสียใจมาก พ่อทุกคนรักลูก แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เห็นหน้าเขาเลย แค่ได้ยินชื่อเขา ผมก็ทำใจไม่ได้แล้ว แต่จะทำยังไงได้ อย่างไรก็เขาก็เป็นลูกเรา แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุดและทำใจไม่ได้ คือ เป็นห่วงหลาน 2 คน กลัวหลานจะซัฟเฟอร์ ซึ่งทำให้ที่ผ่านมา คนเป็นพ่ออย่างผมต้องกลั้นอกกลั้นใจไว้ ลูก เราทำใจไปแล้ว แต่กับหลาน ผมรักและเป็นห่วงเขามาก คนโตเขาอายุ 17-18 ปีแล้ว ไม่อยากให้กระทบกระเทือน ถ้ารู้มาก่อนว่าการเข้าไปลงทุนซื้อหุ้น วินด์ เอนเนอร์ยี่ แล้วจะทำให้ครอบครัวต้องมีปัญหากันขนาดนี้ ผมคงไม่ให้ซื้อ แม้โดยตัวธุรกิจเขาถือว่าเป็นธุรกิจที่เราเห็นว่าดี
ด้าน นายกฤษณ์ และ นายกรณ์ กล่าวว่า เราพยายามไกล่เกลี่ย และคุยกันภายในครอบครัวแล้ว แต่ไม่สามารถจบลงได้ เพราะหลายครั้งแล้ว แต่ 'ณพ' ไม่พูดความจริงทั้งหมด รวมทั้งมีผู้ใหญ่ที่เป็นเพื่อนพ่อก็มาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยหลายครั้งแล้ว เราไม่อยากมีปัญหา และไม่อยากให้พ่อต้องมาช้ำใจเพราะลูกในยามนี้ที่พ่ออายุมากแล้ว โดยเฉพาะการเอาคุณพ่อไปติดคดีความถูกฟ้องศาล อันนี้พวกเรายอมไม่ได้
ผู้สื่อข่าวได้โทรไปสอบถาม นายณพ ณรงค์เดช เพื่อขอให้ชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้น นายณพ กล่าวว่า ผมขอไม่พูดอะไร เป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่มีใครแฮปปี้ หรือมีความสุขที่เกิดเหตุการณ์นี้ ผมรักพ่อที่สุด ทุกคนรู้ดี ผมมีลูก 2 คน ผมคงไม่ทำอะไรที่ไม่ดีหรือโกงใคร ส่วนคดีความที่อยู่ในชั้นศาล ก็คงต้องรอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ตอนนี้กิจการของ วินด์ เอนเนอร์ยี่ ธุรกิจก็เดินหน้าด้วยดี ไม่มีปัญหาใด.