ตามล่า “พ.อ.หม่องชิตตู” ผู้นำกองกำลัง BGF ฝั่งเมียนมา กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “อดีต สมช.” ประเมิน 4 มาตรการกดดัน บีบกองกำลังเบาไปหาหนัก คาดรัฐบาลพม่าใกล้ชิดกันไม่จัดการ ขอใช้ไม้แข็ง “กองกำลังนานาชาติ” ร่วมจีนเข้าพื้นที่จัดการ
ไทยเปิดยุทธการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ฝังตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา และกัมพูชา แม้มีมาตรการตัดไฟฟ้าจากฝั่งไทยไปแล้ว 5 จุด แต่เครือข่ายสีเทา ก็หันมาใช้เครื่องปั่นไฟ ขณะเดียวกันในอีกหลายเมือง ไทยก็ยังไม่สามารถจัดการได้
เมื่อวานนี้ (11 ก.พ. 68) กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ โดยกองคดีการค้ามนุษย์ เตรียมออกหมายจับ “พ.อ.หม่องชิตตู” ผู้นำกองกำลัง BGF (Border Guard Forces) ที่มีอำนาจควบคุมเมืองเมียวดี ในประเทศเมียนมา และแกนนำบางส่วนเนื่องจากพบมีความเกี่ยวโยงกับชาวต่างชาติ ถูกหลอกจากแก๊งสแกมเมอร์ และหนีข้ามมาฝั่งไทยได้สำเร็จ
ล่าสุด พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับการกองกำลังบีจีเอฟ ศูนย์เมียวดี ให้ข่าวโต้กลับไทยว่า ดีเอสไอของไทย มีความพยายามออกหมายจับผู้นำ 3 คน คือ พ.อ.หม่อง ชิตตู, พันตรี เต่งวิน และพันโทเมาะโต่ง ทหารกองกำลังรักษาชายแดนรัฐกะเหรี่ยง หรือ บีจีเอฟ เชื่อมโยงการค้ามนุษย์ จริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้อง นายทุนจีนและคนไทยที่ข้ามมา เดินทางมาเอง
ด้วยท่าทีแข็งกร้าวของ กองกำลัง BGF ที่ออกมาปกป้อง “พ.อ.หม่องชิตตู” ไทยเองควรมีท่าทีอย่างไร ในภาวะที่ต้องปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ตั้งอาณาจักรอยู่ในพื้นที่ชาติพันธุ์ฝั่งเมียนมา พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขา สมช. เปิดเผยกับทีมข่าวว่า การออกหมายจับ “พ.อ.หม่องชิตตู” ผู้นำกองกำลัง BGF ควรดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ควรใช้ความร่วมมือทางคดีอาญา การส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับเมียนมา แต่อันดับแรกไทยต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า “พ.อ.หม่องชิตตู” มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะข้อตกลงกับเมียนมา มีเฉพาะคดีเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ซึ่งไทยต้องตรวจเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงให้แน่ชัด
...
2. หากตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบมีความเชื่อมโยง ถ้าเมียนมาไม่มีอำนาจจัดการเหนือชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะกองกำลัง BGF ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลกลางเมียนมา ถือเป็นเรื่องยากจะจับกุมได้
3. ถ้าจับได้ ทางการไทยควรกันให้ “พ.อ.หม่องชิตตู” ไว้เป็นพยาน แล้วกดดันให้ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ ขับไล่แก๊งจีนเทาที่มาในพื้นที่ออกไปจากเขตปกครอง เพราะเป็นกลุ่มอาชญากรข้ามชาติผิดต่อหลักมนุษยธรรม
4. ต้องปราบปรามผู้สนับสนุน กองกำลัง BGF ฝั่งไทย ให้มีความผิดทางอาญา หากไม่กดดันข้อมูลต่างๆ ที่พัวพันอยู่จะไม่ออกมา โดยเฉพาะเส้นทางการเงิน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีความเชื่อมโยงต่อการกระทำความผิดข้ามชาติ เช่น ข้อมูล ISP ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หากผู้ประกอบการไม่ให้หน่วยงานรัฐเข้าถึง โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลของลูกค้า จึงเป็นเรื่องยากที่จะปราบปรามได้
มาตรการปราบเชิงรุก กองกำลังนานาชาติ
กรณีที่ไทยกดดัน “พ.อ.หม่องชิตตู” ทุกรูปแบบแล้วยังไม่มอบตัว “พล.ท.พงศกร” มองว่า กองทัพของไทยต้องประกาศการรักษาความมั่นคงเชิงรุก โดยกองกำลังทหารที่ร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ซึ่งจีนเองก็พร้อมไฟเขียว และร่วมมือ โดยไทยถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ที่ถูกแก๊งจีนเทาหลอก
เนื่องจากตอนนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กระจายไปทั่วตามแนวชายแดนเมียนมาและกัมพูชา สถานการณ์นี้ไทยควรแสดงตัวเป็นพระเอก ในการเป็นเจ้าภาพการปฏิบัติการร่วมปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ผ่านมาทางการจีนได้ส่งสัญญาณนี้มาแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ ไทยควรแสดงท่าทีความเป็นผู้นำในการจัดการปัญหานี้ เพราะถ้าปล่อยให้ทางจีนนำ จะทำให้ชาติตะวันตก เกิดข้อสงสัยต่อการทำงานได้
“การที่ไทยเป็นเจ้าภาพปราบปรามแก๊งจีนเทา ต้องจัดเป็นเหมือนอีเวนต์ใหญ่ ให้กองกำลังนานาชาติ ที่อยู่ในพื้นที่เมียนมา และรัฐบาลกลาง รวมถึงตัวแทนจากจีนมาร่วมกัน โดยบอกว่ากองกำลังที่มาถือเป็นกลุ่มสีขาว ต้องร่วมมือกันปราบทุนสีเทา หลังจากประกาศแล้ว ถ้าบรรดาทุนสีเทาไม่ออกจากพื้นที่ ก็ต้องลุย เพราะถ้าประเมินแล้วกองกำลังของ หม่อง ชิตตู มีประมาณหมื่นคน มีเงินจ้างกองกำลังเดือนละ 5 พันบาท/คน แต่ถ้าประเมินตอนนี้ คาดว่าไม่กล้ารบกับไทย เพราะไทยปิดด่านฝั่งเมียนมาก็จะขาดแคลนเสบียง ทำให้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง”.