เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงการคลังออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา Stablecoin (สเตเบิลคอยน์) ใหม่ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท
โดยจะใช้พันธบัตรรัฐบาลเป็นหลักประกัน พร้อมเปิดแพลตฟอร์มเทรด อีกทั้งในอนาคตอาจจะมีการปรับให้สามารถใช้ได้ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การชำระค่าบริการต่าง ๆ หรือซื้อสินค้าภายในประเทศได้ ควบคู่กับการออกเป็นรูปแบบ Investment Token สะท้อนการเปิดกว้างเรื่อง Digital Asset (สินทรัพย์ดิจิทัล) ที่กำลังเป็นที่นิยมในระดับโลกและมีการเติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้น
โดยหลายฝ่ายมองว่านี่นับเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยได้ ภายใต้รัฐบาลมีนโยบายหลักในการจัดตั้งศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพิ่มบทบาทการเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลกด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้คนทั่วไปอย่างเรา ๆ ควรเริ่มให้ความสนใจไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล เพราะในอนาคต Digital Currency อาจจะมีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้น
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้อธิบายถึงความหลากหลายของ “สกุลเงินดิจิทัล” โดยแบ่งประเภทจากเจ้าของ ได้แก่
1.สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง: CBDC (Central Bank Digital Currency) เช่น e-CNY ของจีน ถูกควบคุมและมีความมั่นคงสูง
2.สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยเอกชน: Private Digital Currency
ทั้งนี้ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นและเชื่อมโยงกับการพัฒนา Stablecoin ที่รัฐบาลไทยกำลังจะพัฒนา สรุปความแตกต่างของสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ได้ดังนี้
Cryptocurrency (คริปโตเคอร์เรนซี): เปรียบเสมือน "เงินดิจิทัล" ที่คนทั่วโลกใช้กัน เช่น Bitcoin หรือ Ethereum แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษคือ มันไม่มีใครควบคุมและราคามันสามารถขึ้นลงได้เร็วมาก เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้นในตลาดที่มีความเสี่ยงสูง
Stablecoin (สเตเบิลคอยน์): คิดง่าย ๆ ว่าเป็น "เงินดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่" เหมือนกับการใช้เงินบาทหรือดอลลาร์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น USDT หรือ USDC ที่มูลค่าจะผูกกับดอลลาร์สหรัฐฯ มันจึงปลอดภัยกว่า Cryptocurrency ที่มีความผันผวนสูง เพราะเราสามารถคาดการณ์ได้ว่า 1 Stablecoin จะมีมูลค่าใกล้เคียงกับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
CBDC (Central Bank Digital Currency): คือสกุลเงินดิจิทัลที่รัฐบาลออกมาเอง ซึ่งได้รับการรับรองและควบคุมจากธนาคารกลางหรือรัฐบาล อย่างเช่นในประเทศจีนที่มี e-CNY หรือเงินดิจิทัลของรัฐบาลจีน ที่คนสามารถใช้แทนเงินสดในชีวิตประจำวันได้และปลอดภัยเพราะรัฐบาลรับประกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามกันต่อจากกรณีที่กระทรวงการคลังของไทยประกาศจะพัฒนา Stablecoin ใหม่มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท นอกจากข้อดีที่จะกลายเป็นทางเลือกการชำระเงินที่สะดวกและประหยัดต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมในประเทศ เช่น การโอนเงินระหว่างบุคคล หรือชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งจะทำให้ Stablecoin ที่รัฐบาลออกสามารถมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคตแล้วนั้น
ความเสี่ยงก็มีเช่นกัน เช่น การคุ้มครองข้อมูลผู้ใช้, การป้องกันการฟอกเงิน, หรือการตั้งกฎระเบียบใหม่ ๆ ที่อาจจะมีผลกระทบในอนาคต เรื่อยไปจนถึงความโปร่งใสของระบบ, การเปลี่ยนแปลงระบบการเงิน โดยเฉพาะการเข้าถึงและการทำให้คนทั่วไป-นักลงทุนเชื่อมั่นยอมรับ เป็นต้น
ที่มา : ธปท. ,ทำเนียบรัฐบาล ,ก.ล.ต.
อ่านข่าวหุ้น ข่าวทองคำ และ ข่าวการลงทุน และ การเงิน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney