ไทยรัฐฉบับพิมพ์
นับตั้งแต่เริ่มต้น ปี 2000 เป็นต้นมา วงการเทนนิสชาย ก็ถูกปกครองด้วย 4 จตุรเทพแห่งวงการเทนนิสอย่างโรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล, แอนดี เมอร์เรย์ และโนวัค ยอโควิช มายาวนานถึง 20 กว่าปีด้วยกัน
ทั้ง 4 คนนั้นสร้างความฮือฮาให้กับวงการเทนนิสโลกได้อย่างต่อเนื่อง กวาดแชมป์แกรนด์สแลมรวมกันได้มากกว่า 68 สมัยด้วยกัน เรียกได้ว่าในแต่ละปีทั้งหมดก็สลับกันคว้าแชมป์กันอย่างสนุกสนาน มีนักหวดบางคนที่สอดแทรกเข้ามาบ้างแต่ก็ไม่เยอะ
ทั้ง 68 แชมป์แกรนด์สแลมของทั้ง 4 แบ่งเป็น โนวัค ยอโควิช 23 สมัย (ออสเตรเลียน โอเพ่น 10 ครั้ง, เฟรนซ์ โอเพ่น 3 ครั้ง, วิมเบิลดัน 7 ครั้ง, ยูเอส โอเพ่น 3 ครั้ง) นาดาล 22 สมัย (ออสเตรเลียน โอเพ่น 2 ครั้ง, เฟรนซ์โอเพ่น 14 ครั้ง, วิมเบิลดัน 2 ครั้ง, ยูเอส โอเพ่น 4 ครั้ง), เฟเดอเรอร์ 20 สมัย (วิมเบิลดัน 6 ครั้ง, เฟรนซ์ โอเพ่น 1 ครั้ง,วิมเบิลดัน 8 ครั้ง, ยูเอส โอเพ่น 5 ครั้ง) และเมอร์เรย์ 3 สมัย (วิมเบิลดัน 2 ครั้ง และยูเอสโอเพ่น 1 ครั้ง)
จากในลิสต์แล้ว เมอร์เรย์จะดูได้แชมป์น้อยมากที่สุดก็จริง แต่เจ้าตัวก็สามารถทะยานเข้าชิงชนะเลิศได้มาถึง 9 ครั้งด้วยกัน แต่สุดท้ายได้แชมป์มาแค่ 3 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงพีกสุดๆใครเจอนักหวดชาวสหราชอาณาจักรรายนี้จะต้องเล่นยาวถึง 5 เซตกว่าจะเอาชนะได้ก็ต้องออกแรงมหาศาล
ส่วนคนอื่นอย่างยอโควิช, เฟเดอร์เรอร์ และ นาดาลโดดเด่นมากๆ เรียกได้ว่าในยุค 2000 นั้นแทบจะไม่มีใครโดดเด่นขึ้นมาเทียบทั้ง 3-4 คนนี้ได้เลย
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปอายุทุกคนเริ่มมากขึ้นยุคสมัยก็พยายามจะเดินผ่านเปลี่ยนมาเรื่อยๆ มีบรรดาดาวรุ่งมากมายที่อาจหาญขึ้นมาท้าทายบรรดารุ่นพี่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสแตน วาวรินกา (สวิตเซอร์แลนด์), อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ (เยอรมนี), อังเดร รูเบลฟ (รัสเซีย), ดานิล เมดเวเดฟ (รัสเซีย), โดมินิค ธีม (ออสเตรีย), สเตฟานอส ซิสสิปาส (กรีซ), แคสเปอร์ รุด (นอร์เวย์) แต่ก็ยังไม่มีใครก้าวข้ามขึ้นมายิ่งใหญ่อีกได้เลย
ในลิสต์ที่กล่าวมามีเพียงแค่สแตน วาวรินกา เท่านั้นที่สามารถต่อกรกับทั้ง 4 จตุรเทพได้ เคยคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ถึง 3 สมัย (ออสเตรเลียน โอเพ่น 1 ครั้ง, เฟรนซ์ โอเพ่น 1 ครั้ง และยูเอส โอเพ่น 1 ครั้ง) แต่ก็ก้าวขึ้นมาได้เพียงแค่ 3-4 ปีเท่านั้น นักหวดหนุ่มเลือดสวิสก็แผ่วลงจนหายไปในที่สุด
แม้ว่านักหวดรุ่นแล้วรุ่นเล่าจะก้าวขึ้นมาท้าชิงแชมป์กับทั้งจตุรเทพ แต่ก็ยังไม่มีใครยืนระยะได้ยาวๆ เลยจนต้องรอให้บรรดานักหวดทั้งหลายเริ่มโดนความชราเกาะกินจนวางมือกันไปเอง โดยเฟเดอเรอร์ได้ประกาศเลิกเล่นไปเมื่อปี 2022 ด้วยวัย 41 ปี ขณะที่ นาดาลที่ตอนนี้แม้ว่าจะยังไม่ประกาศแขวนแร็กเกตอย่างเป็นทางการ แต่ก็เหมือนว่าจะเลิกเพราะก็ไม่ได้แข่งกันมานานพอสมควร
ทำให้ตอนนี้ 4 จตุรเทพของวงการเทนนิสเหลือแค่โนวัค ยอโควิช กับแอนดี เมอร์เรย์ เท่านั้น แต่หากจะนับเฉพาะนักหวดที่ยังอยู่ในระดับท็อปก็เหลือแคนักหวดชาวเซิร์บคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนระยะอยู่ได้ด้วยวัย 36 ปี
จนในปี 2020 มีนักหวดดาวรุ่งที่ชื่อคาร์ลอส อัลคาราซ นักหวดชาวกระทิง ได้ก้าวขึ้นมาสู่มืออาชีพอย่างเต็มตัวด้วยวัยเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น ปีแรกไม่มีอะไรมากจนมาถึงในปี 2021 แร็กเกตหนุ่มหน้ามนก็เริ่มฉายแสงหลังจากไปได้ไกลถึงรอบ 8 คนสุดท้ายในศึกยูเอส โอเพ่น 2021 ก่อนสุดท้ายเจ้าตัวก็คว้าแชมป์รายการเน็กซ์ เจเนอเรชัน เอทีพี ไฟนอลส์ ซึ่งนำบรรดาดาวรุ่งมาทำการแข่งขันกัน
พอก้าวขึ้นมาในปี 2022 อัลคาราซในวัย 18 ปี ก็เริ่มสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง คว้าแชมป์ ไมอามี โอเพ่น 2022 และมาดริด โอเพ่น 2022 มาครองได้สำเร็จ ซึ่งทำให้เจ้าตัวกลายเป็นนักหวดอายุน้อยสุดอันดับ 2 ที่คว้าแชมป์ระดับมาสเตอร์ส ซีรีส์ 1000 มากกว่า 1 รายการต่อจากราฟาเอล นาดาล นักหวดรุ่นพี่
โดยเฉพาะการคว้าแชมป์มาดริด โอเพ่น ที่สร้างความฮือฮามากๆ เพราะอัลคาราซนั้นสามารถเอาชนะราฟาเอล นาดาล เทพคอร์ตดิน และโนวัค ยอโควิช มือ 1 ของโลกในตอนนั้น แถมยังหวดเอาชนะอเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ ในรอบชิงไปอีก
หลังจากนั้นทั้งวงการก็เริ่มสนใจดาวรุ่งวัย 18 ปีรายนี้กันบ้างแล้ว และสุดท้ายเจ้าตัวก็สามารถดึงสปอตไลต์เข้าหาตัวเองได้สำเร็จด้วยการคว้าแชมป์แกรนด์สแลมของตัวเองในรายการ “ยูเอส โอเพ่น” มาครองได้สำเร็จด้วยการโค่นแคสเปอร์ รุด ไปได้ 3-1 เซต
เท่านั้นยังไม่พอ อัลคาราซยังกลายเป็นนักเทนนิสมือ 1 ของโลกที่อายุน้อยที่สุดเพียงแค่ 19 ปี 241วันเท่านั้น
และนับตั้งแต่คว้าแชมป์ “ยูเอส โอเพ่น” มาครองทำให้อัลคาราซเป็นที่จับตามองเพราะอายุยังไม่ถึง 20 ปี จะสามารถยืนระยะได้หรือไม่หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ฉาบฉวยขึ้นมาแล้วก็ไปเหมือนคนอื่นๆก่อนหน้านี้
แต่ในปี 2023 นั้น อัลคาราซแสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเขาเองไม่ใช่นักหวดที่ฉาบฉวยเหมือนรุ่นพี่ๆ ก่อนหน้านี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะถอนตัวจากการแข่งขันออสเตรเลียน โอเพ่น ก่อนกลับมาคว้าแชมป์บีเอ็นพี พาริบาส โอเพ่น 2023 ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะป้องกันแชมป์ “มาดริด โอเพ่น 2023” เอาไว้ได้อีกสมัย
ทำให้อัลคาราซลงเล่นใน “เฟรนซ์ โอเพ่น” ด้วยความมั่นใจว่าจะก้าวไปถึงรอบชิง แต่สุดท้ายก็ต้องอกหักไปได้ไกลแค่ตอบตัดเชือกเมื่อปราชัยให้กับยอโควิช นักหวดชาวเซิร์บ ที่สุดท้ายก้าวไปคว้าแชมป์ในที่สุด
หลังผิดหวังอัลคาราซก็ไม่ย่อท้อมองไปเป้าหมายใหม่ที่จะมาถึงในศึก “วิมเบิลดัน” คอร์ตหญ้าอันศักดิ์สิทธิ์ และนักหวดวัย 20 ปีก็สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทุบมือวางหลายต่อหลายคนจนก้าวเข้ามาชิงชนะเลิศกับยอโควิชที่กำลังไล่ล่าแชมป์แกรนด์สแลมที่ 24
ก่อนแข่งหลายฝ่ายคาดว่าน่าจะเป็นยอโควิช ที่จะย้ำแค้นได้อีกครั้งเหมือนใน “เฟรนซ์ โอเพ่น” แต่ครั้งนี้อัลคาราซทำได้ดีจริงๆรับความกดดันได้ทั้งหมด สู้กับยอโควิชได้อย่างสนุกคู่คี่สูสีไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีของฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด จนต้องมาตัดสินกันในเซตที่ 5 และสุดท้ายจะเป็นทางอัลคาราซที่เอาชนะไปได้ 3-2 เซต คว้าแชมป์วิมเบิลดันเป็นครั้งแรกและเป็นแกรนด์สแลมที่ 2 ของเจ้าตัว
ด้วยสไตล์การเล่นที่หลากหลาย มีโฟร์แฮนด์ที่หนักหน่วงเป็นทีเด็ด นอกจากนั้นด้วยอายุเพียงแค่นี้ยังมีพละกำลังเหลือที่จะไล่บี้คู่ต่อสู้ได้นาน 4 ชั่วโมงแบบไม่มีแผ่วเลย ปกติการเจอกับยอโควิช ใครๆก็ต้องหวั่นเกรงเพราะมีแสงออร่าแชมป์แกรนด์สแลม 23 สมัยอยู่รอบตัว แต่ไม่ใช่อัลคาราซ แต่สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นในเกมที่ชนะยอโควิชนั้นก็คือความนิ่ง เล่นตามเกมไปเรื่อยจนรอคู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำถึงค่อยปิดฉาก
ลองคิดดูขนาดคู่ต่อสู้เป็นชายชื่อยอโควิชที่ถือว่า เป็นหนึ่งในสุดยอดนักหวดของยุคยังโดนอัลคาราซ เล่นงานขนาดนี้ หลังจากนี้ไปใครจะหยุดดาวโรจน์ดวงนี้ได้!!
ซึ่งการคว้าแชมป์ “วิมเบิลดัน” ในปีนี้มันเป็นการส่งสัญญาณการผลัดเปลี่ยนในวงการเทนนิสจากยุคสมัยเก่า “4 จตุรเทพ” เข้าสู่ยุคสมัยของ “คาร์ลอส อัลคาราซ” อย่างเป็นทางการก็ว่าได้!!
ชานนท์ กล่ำดิษฐ์...เรื่อง