โจโจ้
จบภารกิจ “มวยสากลคัดเลกแรก” ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับทีม หมัดไทยทั้งชาย-หญิงที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไล่ล่าโควตาโอลิมปิกเกมส์ ในดินแดนมะกะโรนี
แม้จะได้ตั๋วมาเพียงใบเดียวจาก “เจ้าเฟี้ยว” จุฑามาศ จิตรพงศ์ ในรุ่น 54 กก.หญิง แต่ภาพรวมถือว่าตามเป้าที่วางไว้
ที่สำคัญได้เห็นข้อบกพร่องต่างๆของนักชกทั้งชายและหญิงก่อนที่จะล่าตั๋วรายการสุดท้ายที่ไทย เป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 23 พ.ค.-5 มิ.ย. ที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก
อย่างแรกที่เห็นในมุมของสื่อมวลชนที่เฝ้า
ตามมาตลอดเกือบ 10 วัน และเห็นคล้ายๆกันกับสตาฟฟ์โค้ชเรื่องพละกำลัง สมรรถภาพ รวมถึงสมาธิ ของทีมหมัดไทยยังต้องรีบอุดช่องโหว่อย่างเร่งด่วน
หลายคนที่ทิ้งโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ยกแรก ทำคะแนนนำ พอยกสองเจอคู่ต่อสู้เดินเข้าใส่แบบไม่หยุดถึงกับไปไม่เป็นหายุทธวิธีตั้งรับไม่ทัน สุดท้ายก็ต้องอกหักแพ้ไปแบบน่าเจ็บใจ
แม้กระทั่งคนที่คว้าโควตาได้แล้วก็ตาม เมื่อเปรียบกับนักชกหลายชาติ โดยเฉพาะมหาอำนาจในเอเชีย อย่างอุซเบกิสถาน คาซัคสถาน รวมถึงคิวบา ฯลฯ ยังแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนเขามีแรงฮึด เวลาที่โดนนำในยกแรก พอยกสองจะเดินไล่บี้แบบหายใจรดต้นคอ สุดท้ายกลับมาชนะได้ตามที่หวังไว้
วันนี้หากนักชกไทยมีพละกำลังหรือมีลูกฮึดแบบใจเกินร้อยความสำเร็จคงไม่ไกลเกินเอื้อม
ถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่ได้โควตาแล้วนอนตีขิม
ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจที่จะฝึกฝนวิชาให้กล้าแกร่งหรือเร่งแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
จากนี้ไปสมาคมมวยควรมีกฎเหล็กพวกที่ได้โควตาไปแล้วห้ามไปไหนต้องขยันฝึกซ้อมให้หนัก เชื่อเถอะครับไม่มีธุระอะไรที่จำเป็นกว่าการฝึกซ้อมอีกแล้ว
อย่าลืมนะความสำเร็จไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ ล้วนต้องแลกกับการทุ่มเทอย่างหนักด้วยกันทั้งนั้น
สุดท้ายเมื่อเราสมหวังก้าวไปถึงจุดสูงสุดยอดพีระมิดได้เหรียญทองตามที่ฝัน วันนั้นรางวัลแห่งความสำเร็จจะคืนกลับมาหาแบบทวีคูณสมกับความทุ่มเทตลอดทั้งชีวิต
เชื่อเถอะครับไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่ายและ ขอให้จำไว้ว่าลำบากตอนนี้จะมีสุขในวันข้างหน้า ขอเพียงทุ่มเทอย่างเต็มที่เท่านั้น
เมื่อโอกาสมาถึงเรือนชานแล้วก็อย่าปล่อยให้ลอยผ่านไปเร่งไขว่คว้าก่อนที่จะจับต้องไม่ได้.
โจโจ้