หน้าแรกแกลเลอรี่

"สุนิสา ลี" เจอคนแปลกหน้าฉีดสเปรย์พริกไทย-ไล่กลับประเทศ หลังคว้าทองโอลิมปิก

ไทยรัฐออนไลน์

12 พ.ย. 2564 19:00 น.

นักยิมนาสติกสาวทีมชาติสหรัฐอเมริกาเชื้อสายม้ง เผยว่าการคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ไม่ช่วยให้เธอรอดพ้นจากการโดนเหยียดเชื้อชาติ

วันที่ 12 พ.ย. 64 สุนิสา ลี นักยิมนาสติกหญิงทีมชาติสหรัฐอเมริกา เจ้าของเหรียญทองประเภทบุคคลรวมอุปกรณ์ในโอลิมปิกเกมส์ 2020 เปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอหลังจบการแข่งขันที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ผ่านการให้สัมภาษณ์กับ ป๊อป ชูการ์ (Pop Sugar) สื่อดังของสหรัฐอเมริกาที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของผู้หญิง ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ช่วงหนึ่ง นักยิมนาสติกสาวเชื้อสายม้งวัย 18 ปี เล่าถึงเรื่องน่าตกใจที่เคยเจอระหว่างรอรถอูเบอร์กับเพื่อนๆ ที่มีเชื้อสายเอเชียเหมือนกันในนครลอสแอนเจลิส ซึ่งก็มีรถคันหนึ่งมาจอดเทียบข้างทางก่อนเปิดกระจก แล้วจู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าตะโกนด่าทอพร้อมกับเหยียดเชื้อชาติและไล่ให้พวกเธอกลับประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิด ก่อนฉีดสเปรย์พริกไทยใส่แขนของ สุนิสา ลี แล้วขับรถหลบหนีไป 

สุนิสา ลี เผยความรู้สึกว่า "ฉันโมโหมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรือควบคุมไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้เปิดเผยตัวตน บางครั้งการมีชื่อเสียงก็นำไปสู่ความยากลำบาก เพราะฉันไม่อยากทำอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนหรือมีปัญหา แต่ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้มันเกิดขึ้น"

นอกจากนั้น สุนิสา ลี ซึ่งเติบโตในชุมชนผู้อพยพชาวม้งในเมืองเซนต์ปอล ยังบอกอีกว่าเธอไม่กล้าแจ้งตำรวจหากมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เพราะเกรงว่าอาจจะเจอปัญหาหรือได้รับความเดือดร้อนมากกว่าเดิม พร้อมทำใจถึงความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต้นกำเนิดในแถบเอเชีย

ด้าน วอชิงตัน โพสต์ สื่อดังของสหรัฐฯ ที่นำเสนอบทสัมภาษณ์ของ สุนิสา ลี ได้เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ก็มีรายงานว่าชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียหลายพันคนถูกคุกคามหรือทำร้าย ซึ่งความเกลียดชังนั้นได้มุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ขณะที่ Stop AAPI Hate (องค์กรที่ต่อสู้กับอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังต่อคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก) ได้รวบรวมเหตุการณ์จากความเกลียดชังตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2020 ซึ่งเกิดขึ้นมากกว่า 9,000 ครั้ง โดยมากกว่า 63 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนั้นเกิดจากผู้หญิง