ไทยรัฐออนไลน์
ทำความรู้จักกับหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จด้านการก่อตั้งสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย โดยจุดเริ่มต้นมาจากความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลตามแบบ โรนัลโด
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันมีสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) มากมายในวงการเทรดซึ่งมีมาแล้วหลายพันสกุลเงินโดย 1 ในสกุลเงินที่มีชื่อเสียงอย่างมากที่สุดคือ บิตคอยน์ (BitCoins)
ขณะที่ในประเทศไทยก็มี 1 ในสกุลเงินดิจิทัลที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากนั้นก็คือ Bitkub ซึ่งเป็นคริปโตเคอร์เรนซี ที่มีคนไทยเป็นผู้ก่อตั้ง นามว่า "ท็อป" จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา
หนุ่มวัย 31 ปี ที่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ในบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในวงการนี้ โดยในวัยเด็กชีวิตของเขากลับไม่ได้สวยหรูอย่างนั้น เนื่องจากชีวิตในวัยเด็กไม่ได้มีความฝันเกี่ยวกับด้านการเงินหรืออะไรแบบทุกวันนี้
ในวันเด็กของเขามีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอล โดยที่มีไอดอลคือ คริสเตียโน โรนัลโด สตาร์ดังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน โดยที่ไม่เคยสนใจในการเรียนและมีเรื่องชกต่อยกับเพื่ออยู่เป็นประจำจนถูกเชิญออกจากโรงเรียน
จากวันนั้นมาเขาก็ถูกพ่อแม่ ส่งไปอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ จุดประสงค์เพื่อดัดนิสัย ให้เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งใจเรียนแต่อย่างใดโดย 6 ปีที่ นิวซีแลนด์ ก็จบมาแบบทุลักทุเล
จุดเปลี่ยนแรกของชีวิต ท็อป จิรายุส เกิดขึ้นภายหลังจากที่เรียนจบจากนิวซีแลนด์ และกลับมาสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทย แต่ไม่ว่าจะไปสมัครสอบที่ไหนก็ไม่ติดเลยสักทีเดียว โดยเจ้าตัวเคยพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า "มันเคยเป็นปมด้อยในใจว่าทำไมถึงไม่ตั้งใจเรียนให้ดีกว่านี้"
จนกระทั่งความผิดหวังครั้งนี้ส่งผลให้เขาฝึกฝนตัวเองและพยายามที่จะเปลี่ยนเป้าหมายด้วยการไปสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องยากมากๆ แต่ด้วยความพยายามอยู่ 9 เดือนเต็ม ก็สำเร็จ
โดยเจ้าตัวเลือกที่จะไปสมัครสอบที่ UniverCity of manchester หรือมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ นอกจากมันจะเป็นเมืองที่เขารู้จักเพราะเป็นแฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วนั้นยังเคยเมืองเดียวกับที่ไอดอลของเขาเคยค้าแข้งอยู่ (ในเวลานั้น) โดยเข้าไปเรียนในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์
ตลอดเวลาที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย (ป.ตรี) เขาแทบจะได้ชื่อว่าเป็นที่ 1 เคล็ดลับของเขาคือการเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือถึงวันละ 10-12 ชั่วโมงแทบทุกวัน ช่วงคริสต์มาสก็ไม่กลับไทย โดยที่เจ้าตัวเคยเผยว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะต้องมาขอลอกการบ้าน ผลลัพธ์ที่ได้คือเขาเรียนจบใน 3 ปี พร้อมได้รับรางวัลเกียรตินิยมเหรียญทอง
หลังจากนั้น เขากลายเป็นที่ต้องการตัวของมหาวิทยาลัยดังๆ ทั่วโลกที่พร้อมจะอ้าแขนรับเข้าไปเรียน โดยเจ้าตัวตัดสินใจที่จะเข้าไปเรียนปริญญาโทต่อที่ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ในคณะเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากอีก 1 ไอดอลของเขาอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ก็ศึกษาที่นี่ และแน่นอนว่าเจ้าตัวก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้เช่นกันดังที่คาดหวังไว้ แม้ว่าในภายหลังเจ้าตัวจะบอกว่าแบบฉิวเฉียดเลยทีเดียว
ภายหลังจากจบที่ชั้นปริญญาโท ชีวิตของหนุ่มวัย 23 ปีรายนี้ก็เดินทางเข้าสู่วงการบิตคอยน์ โดยเจ้าตัวพยายามศึกษาอย่างหนัก และเข้าไปจนถึงแก่นแท้ของบิตคอยน์ หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ในเวลานั้นแทบไม่มีใครสนใจ
ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวเลือกที่จะเปิดบริษัทเป็นของตัวเองโดยอาศัยชั้นลอยของบ้าน ที่ทำธุรกิจร้านเสื้อผ้าย่านประตูน้ำ เป็นสำนักงานแห่งแรก ของ "Coin.co.th" โดยมีพนักงานเป็นตัวเขาคนเดียวในตำแหน่ง CEO ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะรับเพิ่มอีก 2 คน ซึ่งก็คือญาติของเขาที่กำลังว่างอยู่ในเวลานั้น
แน่นอนว่าการทำธุรกิจมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะในช่วงนั้นของชีวิตเขาต้องคอยตอบคำถามจากธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสรรพากร และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ไปชี้แจงถึงแนวทางการทำธุรกิจของเขา
อีกทั้งในวันที่คริปโตเคอร์เรนซี ยังไม่มีกฎหมายกำกับดูแลเหมือนปัจจุบันนี้ ข้อกล่าวหาต่างๆ … แชร์ลูกโซ่… ฟอกเงิน เข้าสู่ตัว CEO วัย 23 ปี จนทำให้พ่อแม่ของเขาอยากจะให้ปิดบริษัทนี้แล้วล้มเลิกซะ
อย่างไรก็ดี หนุ่มไฟแรงวัย 23 ปี ก็เลือกที่จะปฏิเสธคำของพ่อแม่ที่จะให้ปิดบริษัท และต้องการจะแสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่า สกุลเงินดิจิทัลนั้นจะมีบทบาทกับโลกในอนาคตอย่างแน่นอนโดยเขาเริ่มจากการเดินสายบรรยายให้ผู้คนที่เข้าสู่วงการนี้แรกๆ เข้าใจถึงสิ่งที่เขาทำและเข้าใจถึงแก่นแทนของ สกุลเงินยุคใหม่
เขาเริ่มทำตั้งแต่ 0 จากที่ไม่มีใครรู้จักว่าสิ่งที่เขาทำคืออะไร จนนำไปสู่การมี พ.ร.บ.สินทรัพย์ดิจิทัล โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.ซึ่งเปรียบเสมือนกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแล สิ่งที่เคยเป็นสีเทา ก็กลายเป็นมีความจริงบนโลกนี้
ต่อมาเขาได้ก่อตั้งบริษัทใหม่ ที่มีชื่อว่า “Bitkub capital group holdings” ในปี 2561 และยังไม่ถึง 4 ปีดี บริษัทของ ท็อป จิรายุส ก็เติบโต แบบก้าวกระโดดทันที มีรายได้ 5,000 ล้านบาท กำไร 2,000 ล้านบาท และรับฝากเงินจากคนไทยมากถึง 50,000 ล้านบาท และมีพนักงานมากถึง 1,400 ชีวิต จากเดิมที่เริ่มต้นมีแค่ 3 คน
ล่าสุด ก็เป็นที่ช็อกวงการมากๆ เมื่อ “กลุ่ม SCBX” ได้ประกาศเข้าลงทุน ใน บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ด้วยมูลค่ารวมกว่า 17,850 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ผลักดันให้บริษัทของเขาก้าวสู่การเป็น "ยูนิคอร์น สตาร์เตอร์" หรือบริษัทที่มีมูลค่าธุรกิจมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 30,000 ล้านบาท ไปแล้วเรียบร้อย
จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้สวยหรูต้องเดินเข้าและออกสถานที่ราชการเพื่อตอบคำถามมากมายถึงการทำธุรกิจ จากการเริ่มต้นจาก 0 สู่ จุดสูงสุดของวงการ เพียงเพราะว่าเขาไม่ยอมแพ้ที่จะทำมัน ทำให้ "ท็อป" จิรายุส มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับแบบทุกวันนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.youtube.com/watch?v=CRsevogXFpI&t=2055s