หน้าแรกแกลเลอรี่

"ผู้ว่ากกท." ตั้งคณะทำงานพิเศษ เพื่อปลดล็อก "วาดา" แบนไทย 1 ปี

ไทยรัฐออนไลน์

11 ต.ค. 2564 16:30 น.

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่า กกท. เดินหน้าตั้งคณะทำงานพิเศษ เร่งผลักดันพระราชกำหนดสารต้องห้ามการกีฬา ออกมาใช้ก่อน เพื่อปลดล็อก วาดา แบนไทย 1 ปี

วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ตามที่ องค์การต่อต้านสารต้องห้ามโลก หรือ วาดา ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ว่า ประเทศไทย อินโดนีเซีย และเกาหลีเหนือ ทำผิดกฎเรื่องสารต้องห้าม เกี่ยวกับนักกีฬา และจะถูกลงโทษ โดยในส่วนของประเทศไทย ถูกระบุความผิดไว้ว่า ไทยไม่ได้ปฎิบัติตามธรรมนูญสารกระตุ้นของวาดา ในด้านการบังคับใช้กฎหมาย ในขณะที่อินโดนีเซีย และเกาหลีเหนือ ผิดกฎในด้านการไม่ส่งนักกีฬาเข้ารับการตรวจสารต้องห้ามทั้ง 3 ชาติ จะต้องพบกับบทลงโทษจากวาดา ได้แก่ การห้ามเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับชาติ ทวีป และระดับโลก ทุกรายการ และคณะกรรมการของทั้ง 3 ประเทศจะถูกสั่งให้ออกจากตำแหน่งคณะกรรมการวาดา เป็นการชั่วคราว อย่างน้อย 1 ปี หรือจนกว่าจะมีคำสั่งคืนตำแหน่ง โดยผู้บริหารสหัพนธ์กีฬาโลกทุกคนที่เป็นชาวไทย จะถูกระงับการปฎิบัติหน้าที่เป็นระยะเวลา 1 ปี เป็นอย่างน้อย ถึงแม้การแก้ปัญหาแล้วเสร็จแล้ว ก็โดนระงับเป็นระยะเวลา 1 ปี

อย่างไรก็ตาม นักกีฬาของทั้ง 3 ชาติ จะยังสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ แต่หากรายการไหนเป็นการแข่งขันที่วาดา และคณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี เป็นผู้ดูแลการแข่่งขัน ไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิก และพาราลิมปิก ทั้ง 3 ชาติจะไม่สามารถใช้ธงชาติ ในนามประเทศลงแข่งขันได้ ทั้งนี้ ทั้ง 3 ชาติยังมีเวลาในการชี้แจง หลังจากได้รับจดหมายประเทศอย่างเป็นทางการจากวาดา

ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) แถลงข่าวชี้แจงในกรณีดังกล่าว บริเวณลานหน้าอาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา กกท. ภายในสนามกีฬาหัวหมาก กรุงเทพฯ โดย ดร.ก้องศักด กล่าวว่า เรื่องนี้ กกท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ดำเนินการแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องขอชี้แจงว่า กรณีของไทยแตกต่างจากกรณี อินโดนีเซีย และ เกาหลีเหนือ โดนแบนจากการที่ไม่ได้ตรวจสอบ และควบคุมการใช้สารกระตุ้นในนักกีฬาแต่ไทยเรามีประเด็นสำคัญเรื่องการแก้ไขตัวบทกฏหมายพระราชบัญญัติควบคุมสารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ.2555 บางประการที่ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ของวาดา ในเรื่องบทลงโทษ ที่ประกาศเมื่อเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา และการแยกเป็นองค์กรอิสระในการบริหารจัดการ โดยเราพยายามแก้ไขกฏหมายลูกตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่กระบวนการมีหลายขั้นตอน และละเอียดอ่อน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกรอบเวลาของวาดา

ทาง กกท.ได้หารือกับรัฐบาล โดยดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นปัญหาฉุกเฉิน รวมทั้งประสานงานกับคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ติดข้อจำกัดในการแก้กฏหมายที่มีกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งส่วนตัวก็เสียใจที่ไม่สามารถผลักดันกฏหมายนี้ได้ทันตามกำหนดของวาดา

โดยบทลงโทษจากวาดา มี 4 ข้อ เร่ิมจากข้อแรก เราจะไม่สามารถร่วมเป็นกรรมการและรับทุนสนับสนุนจากวาดาได้ ซึ่งข้อนี้ไม่มีผลกระทบใด ๆ ข้อ 2 กรรมการชาวไทย ในสหพันธ์กีฬานานาชาติจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ 1 ปี ข้อนี้กระทบต่อตัวบุคคลที่ไม่สามารถเข้าร่วมประชุม และยกมือโหวตในสหพันธ์กีฬาได้ ข้อ 3 ไม่สามารถจัดกีฬานานาชาติระดับภูมิภาค ทวีป และโลก ยกเว้นโอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์ และข้อ 4 ห้ามใช้ธงชาติไทย เพลงชาติไทย ในกีฬาระดับภูมิภาค ทวีป และโลก อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดกีฬาที่มีการกำหนด และเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็ยังมีโอกาสที่จะจัดการแข่งขันได้ ขึ้นอยู่กับทางสหพันธ์กีฬาแต่ละแห่งจะทำความเข้าใจกับวาดา ซึ่งก็ต้องลงไปดูรายละเอียดในแต่ละรายการที่จะจัดการแข่งขัน ส่วนการห้ามใช้ธงชาติไทยเราก็ได้ทำเรื่องขอชะลอการลงโทษไปก่อน

“เราได้พูดคุยกับทางวาดา ถึงความตั้งใจในการแก้ไขปัญหานี้ และผมจะไม่ยอมให้เวลาล่วงเลยไปถึง 1 ปี แต่จะเร่งแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด ซึ่งทางรัฐบาล และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีนโยบายชัดเจน และสั่งการให้เดินหน้าแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และนักกีฬาไทยที่พวกเขาไม่ได้ทำผิดแม้แต่น้อย” ผู้ว่าการ กกท.กล่าว

ดร.ก้องศักด กล่าวต่อว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ คือจะมีการออกกฏหมายพิเศษ เป็นพระราชกำหนด และเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปกฏหมาย โดยวางกรอบเวลาภายใน 3-4 เดือน ซึ่งได้มีการตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาที่มีตนเองคอยดูแลในการรายงานความคืบหน้าให้กับวาดา ไอโอซี, และรัฐบาล ได้รับทราบ รวมทั้งจะประชุมกับคณะกรรมการกฤษฎีกา สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ยืนยันว่าจะทำให้เร็วที่สุดเพื่อให้ไทยกลับมาเชิดหน้าชูตาในเวทีกีฬาโลก ส่วนการที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ในปีหน้า จะไม่มีผลกระทบ เพราะเราจะแก้ไขปัญหาเสร็จก่อน

ที่ผ่านมาเราได้มีการเก็บข้อมูล ยกร่างกฏหมายส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนร่างกฏหมายส่งให้วาดา ตรวจสอบให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล ซึ่งรวมถึง การเพิ่มบทลงโทษ สำหรับผู้กระทำความผิดในการใช้สารต้องห้าม ให้ชัดเจน ว่าควรจะต้องโดนลงโทษกี่ปี มีรายละเอียดอะไรบ้าง เพื่อต้องการปลดล็อกให้เร็วที่สุด ถ้าเสร็จสิ้นแล้วเราสามารถจัดกีฬานานาชาติได้เลย แต่เรื่องกรรมสหพันธ์กีฬา และใช้ธงชาติ คงต้องพูดคุยกับวาดาอีกครั้ง เพราะตามกำหนดเราต้องโดนลงโทษ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ส่วนการแยกออกเป็นองกรค์อิสระนั้น ยอมรับว่าจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของ กกท. ซึ่งเราก็ขอเวลากับวาดาในการจัดการเรื่องนี้ที่จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาใหม่ และก็ดูในเรื่องบุคคลากร และเงินสนับสนุน ต่อไป

สำหรับกรณีที่สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยต่าง ๆ จะจัดการแข่งขันกีฬานานาชาติได้หรือไม่นั้น ถ้าสหพันธ์กีฬานั้น ๆ ได้กำหนดไว้แล้วก็คงต้องพูดคุยกับวาดาในการเดินหน้าจัดการแข่งขันตามสมควร ซึ่งคงต้องดูรายละเอียดเป็นรายการ ๆ ไป โดยวันที่ 12 ตุลาคม เวลา 14.00 น. กกท. จะเชิญสมาคมกีฬาต่าง ๆ เข้ามาประชุมหารือแนวทางการแก้ไขในเรื่องนี้ว่าจะเลื่อน หรือเดินหน้าจัดการแข่งขันต่อ

“กกท. ได้เดินหน้าตั้งคณะทำงานพิเศษ เพื่อเร่งผลักดันพระราชกำหนด สารต้องห้ามการกีฬา ออกมาใช้ก่อน เพื่อปลดล็อก วาดา แบนไทย 1 ปี ส่วนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับนานาชาติในไทย ซึ่งถูกวาดา ห้ามไว้นั้น จะต้องดูเป็นรายการ ๆ ไปว่ายังทำได้หรือไม่ ซึ่งอาจจะต้องปรึกษาสหพันธ์กีฬานั้น ๆ ประกอบการพิจารณา ขณะที่กรณีให้ผู้แทนชาวไทย หยุดทำหน้าที่ในสหพันธ์กีฬานานาชาติ และห้ามใช้ธงชาติไทย ในการแข่งขันรายการต่าง ๆ ระหว่างถูกลงโทษนั้น หากแก้กฎหมายเสร็จเมื่อไหร่ จะขอวาดา ให้ลดโทษทันที เราจะไม่รอให้โดนลงโทษจนครบ 1 ปีอย่างแน่นอน” ดร.ก้องศักด กล่าว