เบี้ยหงาย
ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบสอง ซึ่งมี 36 ทีมแข่งขัน แบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดยทีมไทยเราอยู่สายหนักทีเดียว จับออกมาอยู่ในกลุ่มซี มีทั้งเกาหลีใต้ ทีมอันดับ 28 ของโลก, จีน ทีมอันดับ 80 ของโลก และอีกทีมจากรอบคัดเลือกระหว่างสิงคโปร์ หรือกวม
โดยทีมแชมป์และรองแชมป์กลุ่มจะผ่านเข้ารอบสามคัดฟุตบอลโลกโซนเอเชีย ซึ่งจะมีทั้งสิ้น 18 ทีม และไม่เพียงจะมีผลคัดบอลโลกอย่างเดียว 18 ทีมดังกล่าวนั้น จะได้สิทธิ์ลงทำการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพ 2027 ด้วย
ฟุตบอลเอเชียนคัพ 2027 ที่ซาอุดีอาระเบีย รอบสุดท้ายมี 24 ทีมเท่ากับว่า จะเหลือเพียง 6 ที่นั่งเท่านั้นให้ไปเล่นรอบคัดเลือกกันในกลุ่มประเทศที่ไม่ผ่านเข้ามา 18 ทีม นั่นทำให้ความสำคัญของการคัดบอลโลกโซนเอเชียในรอบสองนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอีก
แน่นอนการคัดฟุตบอลโลกของไทยครั้งนี้ นับว่ามีโอกาสมากกว่าทุกครั้ง ย้ำว่ามี “โอกาส” มากขึ้น ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า ฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย ที่สหรัฐฯ, แคนาดา และเม็กซิโก เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ฟีฟ่าเพิ่มทีมรอบสุดท้ายจาก 32 ทีม เป็น 48 ทีม ส่งผลให้ทวีปเอเชียได้โควตาจากเดิม 4.5 ทีม เป็น 8.5 ทีม
ส่วนจะพลิกโอกาสอันมากขึ้นนี้ ให้เกิดความเป็นจริงได้มากขึ้นไปด้วยแค่ไหน ก็ต้องบอกว่ายากไม่น้อยกว่าเดิม ก็ด้วยเริ่มจากสายที่ออกมานี่แหละ ซึ่งมีทั้งเกาหลีใต้ และจีน เป็นด่านแรก!
ไม่ต้องวิเคราะห์เอง เอาที่ มาโน โพลกิง เฮดโค้ชทีมชาติไทย ซึ่งมีภาระ และหน้าที่โดยตรง บอกไว้ชัดๆว่าเกาหลีใต้คือทีมที่แกร่งที่สุด ดังนั้นไทยจะต้องแย่งเข้ารอบกับจีน แต่ก็เชื่อมั่นว่าถ้าได้นักเตะแบบครบชุด ได้ผู้เล่นที่ดีที่สุด ก็มีโอกาสจะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ โดยเฉพาะการเล่นในบ้าน
และหวังว่า “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม จะประสานสโมสรให้ได้ผู้เล่นดีสุด
มาโนยังชี้ว่า เกมอุ่นเครื่องก่อนคัดฟุตบอลโลก ซึ่งมี 4 แมตช์ในช่วงฟีฟ่าเดย์ ในฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 49 ที่ จ.เชียงใหม่ 4-12 กันยายน ที่มีอิรัก, อินเดีย และเลบานอน กับเดือนตุลาคม ที่มีคิวไปยุโรป ได้เล่นกับจอร์เจีย 12 ตุลาคม และเอสโตเนีย 17 ตุลาคม จะเป็น 4 เกมที่จะปรับทีมให้พร้อมที่สุด และเน้นทุกนัดไม่มีการทดลองทีมแล้ว
เฮดโค้ชทีมชาติไทยยกว่าเกมนัดแรก ซึ่งจะพบกับจีนในบ้านเรา 16 พ.ย. ไม่ต่างกับเกมชี้ชะตาทีเดียว ชนะได้โอกาสก็จะเปิดกว้างขึ้นทันที
ขณะที่ทางทีมมุ่งมั่น และคาดหวัง ตลอดจนเตรียมการวางแผนเพื่อพลิก “โอกาส” ให้กลายเป็น “ความจริง” ให้ได้นั้น ซึ่งเป็นทิศทางที่ดี
แต่ในส่วนของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และ โดยเฉพาะนายกสมาคม “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นก่อนหน้านี้ ท่านบอก สมาคมจะจัดการเรื่องความสะดวกสบาย ส่วนในสนามเป็นเรื่องของโค้ชสมาคมจัดการเรื่องนอกสนาม เรื่องผลแข่งขันเป็นความรับผิดชอบของโค้ช ซึ่งไม่เคยกดดันนักกีฬา สิ่งสำคัญคือทำให้ดีที่สุด
ฟังเผินๆเหมือนสบายๆ ดูดี แต่มีระยะห่าง ไม่ผูกไปด้วยกัน ทั้งๆที่กำลังจะออกศึก ไปทำสงครามกันแท้ๆ
หากปรับเปลี่ยนท่าที เป็นการแสดงเจตจำนงที่จะผนึกกำลังร่วมกับทีม ไม่ว่าจะเป็น ผจก.ทีม โค้ช และนักเตะ เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อาสาเข้าสนับสนุนช่วยเหลือ ช่วยแก้ปัญหาข้อติดขัด ทั้งตัวผู้เล่นที่ต้องอาศัยการประสานกับสโมสร และการเตรียมทีมอย่างเต็มกำลัง
ท่านเป็นผู้นำองค์กร ต้องแสดงบทบาท สะท้อนถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ลงเรือลำเดียวกัน ขับเคลื่อนไปด้วยกันจะสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน จะปลุกขวัญสร้างพลังได้มากกว่านี้
โอกาสมีมากกว่าทุกครั้ง ก็ยิ่งต้องจริงจัง และจริงใจ ผนึกกำลังร่วมให้ได้ ยังไม่สายที่จะรวมพลังกันจริงๆ ทำให้คนไทยมีความสุขให้ได้...
“เบี้ยหงาย”