ซูม
ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ช่วงบ่ายๆของวันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน...ตรวจสอบสำนักข่าวออนไลน์ทุกสำนักแล้วยังไม่มีการยืนยันว่าคนไทยจะได้ดูการถ่ายทอดสด “ฟุตบอลโลก 2022” ที่กาตาร์ระหว่าง 20 พ.ย.-18 ธ.ค.หรือไม่?
บนโต๊ะทำงานของผมมี หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับล่วงหน้าวันพุธที่ 16 พฤศจิกายน วางอยู่พาดหัวตัวยักษ์ 3 ชั้นว่า “คนไทยส่อชวดดูบอลโลก...ลิขสิทธิ์สูงเว่อร์”
ส่วนในเนื้อข่าวมีรายละเอียดว่าทางผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยขอต่อราคาล่าสุดไปที่ประมาณ 1,036 ล้านบาท ตามงบฯที่ได้รับมาจาก กสทช. 600 ล้านบาท บวกกับที่จะได้รับจากสปอนเซอร์ 2-3 เจ้าและหักส่วนที่จะใช้จ่ายเป็นค่าถ่ายทอดสด ตลอดจนค่าบริการจัดการแล้วเหลือเน็ตๆแค่ 1,036 ล้านบาทที่ว่า
ก่อนหน้านี้ตัวแทนฟีฟ่ายืนยันว่าลดไม่ได้เลย แม้แต่ดอลล์เดียว
ผมติดตามข่าวนี้มาหลายวัน ไม่นึกโกรธการกีฬาแห่งประเทศไทยเลย...รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่พยายามหาทางช่วยให้คนไทยได้ดูการถ่ายทอดสดครั้งนี้
ตอนที่ขอไปทาง กสทช.แล้ว กสทช.ให้มา 600 ล้านบาท...ผมก็ไม่โกรธ กสทช. เพราะเงินของ กสทช. ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีไหนหรืออย่างไร...ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเงินหลวงแล้วทั้งสิ้น
จะเอาออกมาใช้ก็ต้องเป็นตามกฎตามเกณฑ์ที่ตกลงกับกระทรวงการคลัง ไม่ใช่จะเอาไปใช้อย่างไรก็ได้...ทางคณะกรรมการท่านคงพิจารณาตามความเหมาะสมแล้วว่าจะให้ได้เพียงเท่านี้
สรุปแล้วผมไม่โกรธใครทั้งสิ้น นอกเสียจากโกรธฟีฟ่าที่เรียกค่าถ่ายทอดสดจากประเทศไทยแพงเกินเหตุ...แพงกว่าทุกประเทศในย่านนี้
เมื่อโกรธแล้วผมก็นึกถึงคำกล่าวของนาง พิมพิลาไลย ที่กล่าวกับ พลายแก้ว ในวรรณคดีไทยเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ตอนหนึ่งว่า
“อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย...ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา”
โดยแปลงท่อนท้ายเสียใหม่ว่า “อดข้าวต่างหากละชีวาวาย...ไม่ตาย (หรอกวะ) ถ้าตูไม่ได้ดูฟุตบอลโลก”
เหตุผลข้อที่ 1 ก็เพราะราคาแม้แต่ 1,036 ล้านบาท ที่การกีฬาแห่งประเทศไทยต่อรองไปล่าสุดก็ยังเป็นราคาที่แพงเกินเหตุ และน่าเสียดายอย่างยิ่ง
สามารถนำไปทำประโยชน์ได้มากมายแก่ประเทศชาติ
เหตุผลข้อที่ 2...ผมเห็นด้วยกับบทวิจารณ์หลายๆบทที่ผมอ่านเจอในโซเชียลมีเดียว่า...ไม่ต้องห่วง ยุคนี้มี ช่องทางธรรมชาติให้ดูเยอะ และที่สำคัญไม่ได้ดูสดอดใจไม่กี่นาทีเดี๋ยวก็ได้ดูไฮไลต์แล้วทางยูทูบ
เหตุผลข้อที่ 3 เป็นเหตุผลส่วนตัวของผมครับ เพราะเป็นทั้งสักขีพยานและมีโอกาสได้ร่วมในขบวนการ “ปลุก” ฟุตบอลโลกในประเทศไทยกับเขาด้วยคนหนึ่ง
อยากจะบอกพวกฟีฟ่ารุ่นเหลนในปัจจุบันนี้ให้รู้ว่าเมื่อก่อนปี 1970 หรือ พ.ศ.2513 หรือ 50 ปีเศษๆที่แล้วนั้น “ฟุตบอลโลก” ของยูน่ะเป็น “เศษข่าว” หรือข่าวเล็กๆในประเทศไทยเท่านั้นเอง
ถ้าไม่มีคนชื่อนี้ 2 คนเกิดขึ้นในประเทศไทย...คนแรกชื่อ ระวิ โหลทอง อดีตหัวหน้าข่าวกีฬาไทยรัฐ และคนสอง พินิจ พงษ์สวัสดิ์ หัวหน้าข่าวต่างประเทศ เดลินิวส์ ที่รักข่าวกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ
นำข่าวฟุตบอลโลก 1970 ขึ้นพาดหัวยักษ์ทั้งใน ไทยรัฐ และเดลินิวส์ พร้อมกัน...และรายงานข่าวอย่างละเอียดติดต่อกันแรมเดือนจนคนไทยติดงอมแงมทั่วประเทศ
ช่วงนั้นผมอยู่ พิมพ์ไทย แปลข่าวต่างประเทศอยู่ดีๆถูกเรียกตัวไปแปลข่าวบอลโลกด่วน เพราะ พิมพ์ไทย ก็จำเป็นต้องนำข่าวบอลโลกขึ้นหน้า 1 ด้วย เนื่องจากขายไม่ออกเลยก่อนหน้านั้น
ผมถึงได้บอกว่าเพราะชาย 2 คนนี้แท้ๆที่ทำให้ฟุตบอลโลก “เกิด” ในประเทศไทย นำไปสู่การถ่ายทอดสด “คู่ชิง” บอลโลกคู่แรกระหว่าง บราซิล กับ อิตาลี ใน พ.ศ.ดังกล่าว
ดังนั้น ไม่ว่าผลการเจรจาล่าสุดจะเป็นอย่างไร คนไทยจะได้ดูฟุตบอลโลก 2022 หรือไม่? ผมขอยืนยันว่าผมยังโกรธฟีฟ่าอยู่ครับ
โกรธจริงๆที่ “เศษข่าว” ได้ลงหน้ากีฬาเล็กๆก็บุญแล้ว อย่างข่าวบอลโลกยุคโน้น...พอได้ดิบได้ดีขึ้นหน้า 1 และกลายเป็นข่าวฮิตเข้าหน่อยในยุคนี้บังอาจหน้าเลือดกับคนไทยซะนี่ จะไม่ให้โกรธได้ยังไงล่ะ?
“ซูม”