หน้าแรกแกลเลอรี่

สายตรงฟีฟ่าเดย์ (ตอนจบ)

บี บางปะกง

11 ก.พ. 2565 06:00 น.

การมาทำหน้าที่แพทย์ประจำการแข่งขันรอบคัดเลือกไปฟุตบอลโลก นัดที่สอง ระหว่าง ญี่ปุ่นกับซาอุดีอาระเบีย ในฐานะ FIFA Medical and Doping Control Officer (23 ม.ค.-2 ก.พ. 65) จบลงในวันที่ 1 ก.พ. โดยญี่ปุ่นชนะไป 2:0 และมีกำหนดกลับไทยในวันรุ่งขึ้น ที่ต้องออกจากโรงแรมที่พัก 08.00 น. ซึ่งต้องเรียนให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบนะครับว่า การเดินทางกลับไทยนั้นทุกคนจะต้องรับทราบข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของประเทศไทย ณ ขณะนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร ซึ่งพอจะชี้ประเด็นให้ทราบเป็นขั้นตอนดังนี้ครับ

1.ผมต้องลงทะเบียนใน application online ที่เรียกว่า Thai Pass ให้ได้ QR Code ตอบรับรองจากเมืองไทยก่อน ซึ่งจะแตกต่างจากเมื่อครั้งที่ผมเดินทางมาโอลิมปิก โตเกียว เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งจะต้องเป็นการขอเอกสารจากสถานทูตไทยในโตเกียว (CoE หรือ Certificate of Entry) 

ครั้งนี้ผมจะต้องยื่นสำเนาพาสปอร์ต วัคซีนพาสปอร์ต และต้องมีเอกสารการจองโรงแรมที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้วในระบบ AQ (Alternative Quarantine) Test and Go ซึ่งผมเลือกใช้บริการของโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งจะมีการตรวจ RT-PCR test ในวันเเรกที่มาถึง และต้องพักคอยอยู่ในโรงแรมจนกว่าผลจะออก 

หากผลเป็นลบ (not detected) ก็กลับบ้านออกไปไหนมาไหนได้ แล้ววันที่ 5 ของการเดินทางก็กลับมาทำซ้ำอีก 1 ครั้ง พักคอยในโรงแรมจนทราบผล ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องไปถูกรับรอง หรือตรวจสอบจากกรมควบคุมโรคต่อไป เพื่ออนุมัติมาให้ พร้อมกับส่ง QR Code มาให้เรา เพื่อเก็บไว้ในมือถือ หรือจะ print ออกมาเป็นกระดาษไว้ด้วยก็ได้ เพื่อยื่นให้ จนท.ตรวจสอบที่สนามบินสุวรรณภูมิ 

2.การตรวจ RT-PCR ภายใน 72 ชม. ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย เรื่องนี้ครั้งนี้ไม่มีอะไรยุ่งยาก เพราะระหว่างปฏิบัติหน้าที่รวม 10 วัน ผมได้รับการตรวจทุกวัน (แต่เป็นการใช้น้ำลายจากการเอาไม้ป้ายบนลิ้น แตะไว้ 30 วินาที) ดังนั้นเพียงแต่เราขอให้ทางเจ้าภาพญี่ปุ่นเตรียมผลการตรวจเป็นกระดาษเอกสารแสดงผลมาให้เราก่อนวันเดินทาง 1 วันเท่านั้น

3.เช้าวันเดินทางก็ไปเช็กอินที่เคาน์เตอร์ของเจแปนแอร์ไลน์ พร้อมเอกสารต่างๆ ให้จนท.สายการบินตรวจว่าเรามีทุกอย่างครบในการเข้าประเทศไทย ซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดี

4.เมื่อเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ก็เงียบๆ เหงาๆ เหมือนตอนกลับจากญี่ปุ่นครั้งก่อน ผ่านขั้นตอนการตรวจเอกสาร ยื่น QR Code เพื่อให้ จนท.ตรวจสอบ ผ่านเข้ามาถึงตรวจคนเข้าเมือง แสตมป์ในพาสปอร์ต แล้วไปรับกระเป๋าเดินทาง ผ่านออกมาทางด่านศุลกากร ชนิดเดินผ่านคนเดียว เพราะช่วงนั้นไม่มีคนเดินออกเลยครับ

5.ออกมาถึงจุดที่จะขึ้นรถ ผมก็ไปแจ้งชื่อโรงแรมที่จองไว้ และนั่งรอรถตู้มารับเรา ซึ่งจะเป็นรถตู้ของทางโรงพยาบาลที่มี contact กับโรงแรมที่เราจอง ในรถตู้นี้ก็มีผ้าพลาสติกกั้นระหว่างคนขับรถกับผู้โดยสาร เป็นการป้องกันระหว่างผู้กลับจากต่างประเทศกับคนในประเทศ (คนขับรถ)

6.จากสนามบิน รถนำผมผ่านไปที่โรงพยาบาล และเป็นแบบ Drive Through เข้าไปรับบริการ ทำการ Swab เอาไม้เข้าโพรงจมูก เพื่อเอาสารคัดหลั่งภายในจมูกไปตรวจ (พอดีอาจเป็นเพราะโรงแรมที่ผมจอง จะผ่าน รพ.นั้นพอดี ผมไม่แน่ใจว่าที่โรงแรมอื่นที่รพ.อยู่ไกลกัน ทาง รพ.จะไปตรวจที่โรงแรมหรือเปล่า?) 

7.เมื่อถึงโรงแรม เขาให้ไปเช็กอินที่เคาน์เตอร์ ไม่เหมือนช่วงที่มีการระบาดใหญ่ตอนโอลิมปิก ต้องไปเข้าด้านหลังโรงแรม และใช้ลิฟต์แยกจากลูกค้าของโรงแรมทั่วๆ ไป

8.เข้าไปในห้องรอผลไปประมาณ 6-7 ชม. เพราะเช็กอิน 17.00 น.เศษ กว่าจะได้ผลก็ 01.00 น. ผมเลยตัดสินใจนอนต่อที่โรงแรม 1 คืน ผมเชื่อว่าถ้าหากไฟล์ตเข้าตอนเช้าๆ เย็นๆ ถ้าผลออก ก็น่าจะกลับไปนอนบ้านได้

9.กลับบ้านเช้าวันรุ่งขึ้น 3 กุมภาพันธ์ 65 และกลับไปทำงานที่ รพ.กรุงเทพ ได้ตอนสายๆ

10.วันที่ 5 ของการเดินทาง (6 ก.พ.) กลับไปเช็กอินที่โรงแรมอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขามีกำหนด Swab ใช้ไม้ป้ายเข้าในโพรงจมูกเหมือนเดิม เวลา 17.00 น. ผลออกเช่นเคยประมาณ 24.00 น. ครั้งนี้เลยกลับบ้านนอนเพราะดึกมาก

ผมเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ทุกขั้นตอน เพื่อได้เป็นประสบการณ์สำหรับหลายท่านอาจจะไม่ได้มีโอกาสเดินทางกลับประเทศไทยช่วงนี้ เพราะเป็นนิวนอร์มอล New Normal ที่ไม่เหมือนในอดีตที่ไม่มีการระบาดของเชื้อโควิด-19 และขออย่าได้มี another New Normal อีกเลยครับ สวัสดีครับ.

น.อ. (พิเศษ) นพ.ไพศาล จันทรพิทักษ์

------------------

ขอบคุณ “พี่หมอไพศาล จันทรพิทักษ์” 

ที่กรุณาถ่ายทอดประสบการณ์การทำหน้าที่แพทย์ของฟีฟ่าในต่างแดน

มาให้พวกเราได้ทราบกันอย่างละเอียดยิบถึง 6 ตอนด้วยกัน

40 กว่าปีบนเส้นทางสายลูกหนังทีมชาติอันยาวไกล 

ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวที่ผมอยากให้พี่หมอมาเล่าสู่กันฟังบนพื้นที่ “ไทยรัฐสปอร์ต” ตรงนี้ 

โอกาสหน้าฟ้าใหม่ ถ้าไม่ติดภารกิจอะไร 

เชื่อว่าเราคงได้อ่านกัน (อีก) แน่นอนครับ!!! 

- บี บางปะกง -