ไทยรัฐฉบับพิมพ์
ในที่สุด แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ก็ตกเป็นของ “ตราไก่” ฝรั่งเศส อย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี หลังจากลั่นฟอร์มสุดเจ๋ง ไล่ถล่ม “ตาหมากรุก” โครเอเชีย ขาดลอย 4–2 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่สนามลุซนิกี สเตเดียม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นับเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของทีมชาติฝรั่งเศส หลังเคยทำได้ครั้งแรกในปี 1998 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน
ฝรั่งเศสคู่ควรกับการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนี้อย่างปราศจากข้อสงสัย เพราะเป็นทีมที่เล่นดีเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่นัดแรกยันนัดสุดท้าย แถมยังทำผลงานยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ (ชนะ 6 เสมอ 1) อีกด้วย
หลังจากบราซิลคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ในศึกเวิลด์คัพ 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แล้ว ก็ไม่เคยมีทีมจากอเมริกาใต้คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้อีกเลย เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทีมจากยุโรปกวาดแชมป์ไปครองเรียบวุธ 4 สมัยติดต่อกัน ไล่ตั้งแต่ อิตาลี (2006), สเปน (2010), เยอรมนี (2014) และล่าสุดก็ ฝรั่งเศส (2018)
ชัยชนะเหนือโครเอเชีย 4-2 ครั้งนี้ ทำให้ ฝรั่งเศส กลายเป็นทีมแรกที่ยิงได้ถึง 4 ประตูในฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศ ต่อจากบราซิลที่เคยชนะ อิตาลี 4-1 ในนัดชิงปี 1970
ขณะที่ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือฝรั่งเศส สร้างสถิติเป็นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์โลกทั้งในฐานะนักเตะและกุนซือ ต่อจาก มาริโอ ซากัลโล (บราซิล) และ ฟรานซ์ เบคเคนบาวร์ (เยอรมนี)
ทางด้าน คีเลียน เอ็มบัปเป กองหน้าดาวรุ่งของฝรั่งเศส ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในบอลโลกครั้งนี้ สร้างสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยสุดอันดับ 2 ที่ยิงประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ด้วยวัย 19 ปี กับอีก 207 วัน เป็นรองแค่ตำนานลูกหนังโลกอย่าง เปเล่ อดีตกองหน้าทีมชาติบราซิล ที่ทำไว้ 17ปี กับอีก 249 วัน ในปี 1958
อย่างไรก็ตาม ในเวิลด์คัพ 2018 เจ้าหนูเอ็มบัปเป ยิงได้ 4 ประตูให้กับฝรั่งเศส ส่วน “ไข่มุกดำ” เปเล่ ตำนานลูกหนังชาวบราซิล ซัดไป 6 ลูก ในฟุตบอลโลก ปี 1958
เกมส่งท้ายฟุตบอลโลก 2018 “ตราไก่” ฝรั่งเศส แสดงให้เห็นถึงความเขี้ยว ความเก๋า ความจัดจ้านในการเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ และเป็นทีมที่ครบเครื่องกว่า แม้จะครองบอลน้อยกว่าและมีโอกาสยิงน้อยกว่า “ตาหมากรุก” โครเอเชีย แบบครึ่งต่อครึ่ง (7 ต่อ 14) ก็ตาม
ที่สำคัญฝรั่งเศสพิสูจน์ให้เห็นอีกด้วยว่า พวกเขามีทีเด็ดทีขาดในเกมรุกมากกว่าโครเอเชีย โดยเฉพาะ 2 กองหน้าอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป และอองตวน กรีซมันน์ (ไม่รวม โอลิวิเยร์ ชิรูด์) ที่ประมาทไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาที หลังจากทั้งคู่ยิงได้คนละประตูในเกมนี้
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า “ตราไก่” ฝรั่งเศส นอกจากเก่งแล้ว ก็ยังมีเทพีแห่งโชคเข้าข้างพวกเขาอีกด้วย เพราะประตูนำ 2-1 ของฝรั่งเศสนั้น หากไม่มี “วีเออาร์” ตราไก่ก็คงไม่ได้ลูกจุดโทษ จากจังหวะที่ แบลส มาตุยดี โหม่งไปโดนแขนของ อิวาน เปริซิช ในเขตโทษแล้วบอลเปลี่ยนทางออกหลังไป ซึ่งดูเผินๆเหมือนไม่มีอะไร แต่ผู้ตัดสินขอไปดูวีเออาร์ ก่อนตัดสินให้ฝรั่งเศสได้ลูกจุดโทษ และกรีซมันน์สังหารเข้าไปไม่พลาด
เกมนี้โครเอเชียออกสตาร์ตได้ดีกว่า เมื่อเป็นฝ่ายครองบอลพับสนามบุกในช่วง 10 นาทีแรก แต่นาทีที่ 18 กลายเป็น “ตราไก่” ที่ขึ้นนำก่อน 1-0
จากการโหม่งผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเองของ มาริโอ มานด์ซูคิช กองหน้าที่ลงมาช่วยเกมรับ ทำให้ มานด์ซูคิช กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำเข้าประตูตัวเองในนัดชิงบอลโลก
แม้โครเอเชียจะตามตีเสมอ 1-1 จากลูกยิงสุดสวยของอิวาน เปริซิช ในนาที 28 แต่ฝรั่งเศสก็มาได้จุดโทษ และกรีซมันน์ยิงเข้าไปให้ตราไก่นำ 2-1 เมื่อจบครึ่งแรก ทว่าครึ่งหลัง “ตราไก่” ร้อนแรงมาก ทำได้อีก 2 ประตูรวดจากป็อกบาและเอ็มบัปเป ออกนำห่างเป็น 4-1 แต่ความผิดพลาดของยอริส นายทวารตราไก่ ทำให้มานด์ซูคิชยิงให้โครแอตไล่มาเป็น 2-4 แต่ก็ทำได้ดีที่สุดแค่นั้น จบเกมฝรั่งเศสจึงเป็นฝ่ายคว้าชัย 4-2 ผงาดคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานมา 20 ปี
ส่วนโครเอเชียถึงจะชวดแชมป์ แต่ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะพวกเขาทำดีที่สุดแล้ว ฟุตบอลยูโร 2020 ในอีกสองปีข้างหน้า โครเอเชียจะกลับมาผงาดอีกครั้งอย่างแน่นอน
ถึงตรงนี้เราไปดูรางวัลรายบุคคลต่างๆ ของศึกฟุตบอลโลก 2018 กันดีกว่าครับ ว่ามีอะไรบ้าง
นักเตะยอดเยี่ยม (ลูกบอลทองคำ) ได้แก่ ลูกา โมดริช (โครเอเชีย), ดาวซัลโวสูงสุด (รองเท้าทองคำ) ได้แก่ แฮร์รี เคน (อังกฤษ) 6 ประตู, ดาวรุ่งยอดเยี่ยม-คีเลียน เอ็มบัปเป (ฝรั่งเศส), ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม-ติโบต์ กูร์กตัวส์ (เบลเยียม), แฟร์–เพลย์ อวอร์ด-ทีมชาติสเปน
สำหรับทีมยอดเยี่ยมประจำเวิลด์คัพ 2018 (ในมุมมองของผม) มีดังนี้ครับ (ระบบ 4-3-3)
ประตู-ติโบต์ กูร์กตัวส์ (เบลเยียม)
แบ็กขวา-คีแรน ทริปเปียร์ (อังกฤษ), เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ-ราฟาเอล วาราน (ฝรั่งเศส), เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ-ดีเอโก โกดิน (อุรุกวัย), แบ็กซ้าย-ลูคัส เฟอร์นานเดซ (ฝรั่งเศส)
กองกลาง-เอ็นโกโล ก็องเต (ฝรั่งเศส), ลูกา โมดริช (โครเอเชีย), เควิน เดอ บรอยน์ (เบลเยียม)
กองหน้า-คิเลียน เอ็มบัปเป (ฝรั่งเศส), เอเด็น อาซาร์ (เบลเยียม), อองตวน กรีซมันน์ (ฝรั่งเศส)
ฟุตบอลโลก 2018 ปิดฉากลงอย่างน่าประทับใจ ภารกิจของผมที่แดนหมีขาวสิ้นสุดลงแล้ว ลาก่อน...รัสเซีย.
หมวดแซม