ไทยรัฐฉบับพิมพ์
ฟุตบอลโลก 2018 ใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์เข้ามาทุกที โดยนัดชิงชนะเลิศเป็นการเจอกันระหว่างหนึ่งในทีมเต็งแชมป์อย่าง “ตราไก่” ฝรั่งเศส ดวลกับทีมม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์อย่าง “ตาหมากรุก” โครเอเชีย ที่สนามลุซนิกิ สเตเดียม ในวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค.นี้ ซึ่งจะได้รู้กันเสียทีว่าใครจะเป็นหมู่หรือจ่า ฝรั่งเศสจะเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 หรือจะเป็นโครเอเชียที่ได้แชมป์โลกไปครองเป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์
“ตราไก่” ฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในเต็งแชมป์เพียงทีมเดียวที่ยังเหลือรอดอยู่ หลังจากบรรดาทีมเต็งต่างทยอยตกรอบกันไปหมดแล้ว ทั้งบราซิล, เยอรมนี, สเปน, อาร์เจนตินา, อังกฤษ และเบลเยียม แน่นอนว่า ตอนนี้บ่อนรับพนันทุกสำนักต่างยกให้ “ตราไก่” เป็นตัวเก็งเต็งหนึ่ง ที่จะผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เพราะถูกมองว่าเหนือกว่าคู่ชิงอย่างโครเอเชีย ทั้งในเรื่องชื่อชั้นและประสบการณ์ความเก๋าในการเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่
ขณะที่ “ตาหมากรุก” โครเอเชีย สร้างสถิติเป็นชาติเล็กที่สุด ที่มีประชากรน้อยที่สุดในรอบ 68 ปี ที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย นับตั้งแต่ปี 1950 หลังจากที่พวกเขาปลิดชีพเอาชนะ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ในเกมรอบรองชนะเลิศ เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันโครเอเชียมีประชากรแค่หยิบมือเดียวเพียง 4.17 ล้านคนเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ อุรุกวัยเป็นชาติเล็กที่สุดที่ทะลุเข้าถึงรอบชิงฟุตบอลโลก ในปี 1950 โดยมีประชากรในตอนนั้นเพียงแค่ 2.4 ล้านคน อย่างไรก็ตาม อุรุกวัยสามารถคว้าแชมป์ในปีนั้นไปครองได้ด้วย
ไม่เพียงแค่นั้น โครเอเชียยังเป็นทีมที่มี “แรงกิ้ง ” อันดับโลกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก โดยตอนนี้ “ตาหมากรุก” อยู่อันดับที่ 20 ของโลก จากการจัดอันดับฟีฟ่า แรงกิ้งล่าสุด ส่วน “ตราไก่” ฝรั่งเศส เป็นทีมอันดับ 7 ของโลก
คู่ชิงฟุตบอลโลกปีนี้ มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ฝรั่งเศสเป็นชาติเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน แต่โครเอเชียเป็นประเทศ เกิดใหม่ที่แยกตัวมาจากยูโกสลาเวีย และเพิ่งประกาศเอกราชเมื่อปี 1990 หรือเมื่อ 28 ปีที่แล้วนี้เอง
โครเอเชียมีประชากรแค่ประมาณ 4.17 ล้านคนเท่านั้น ต่างจากฝรั่งเศสคู่ชิงชนะเลิศของพวกเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของยุโรป มีประชากรมากกว่าโครเอเชียประมาณ 15.5 เท่า คือราวๆ 62 ล้านคน
“ตราไก่” ฝรั่งเศสเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 3 โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเข้าชิงฟุตบอลโลกมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในปี 1998 ที่พวกเขาเองเป็นเจ้าภาพ และฝรั่งเศสสามารถคว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยแรก ส่วนครั้งที่ 2 เข้าชิงชนะเลิศกับอิตาลี ในเวิลด์คัพ 2006 ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งสุดท้าย “ตราไก่” แพ้ดวลจุดโทษ ได้แค่รองแชมป์เป็นรางวัลปลอบใจ
ขณะที่ทีมชาติโครเอเชีย หลังจากแยกประเทศและได้รับเอกราช พวกเขาก็เพิ่งกลับมารวมตัวเพื่อเล่นฟุตบอลอีกครั้งเมื่อปี 1991 แต่ได้ร่วมแข่งขันระดับนานาชาติครั้งแรกเมื่อปี 1994 จากนั้นผ่านรอบคัดเลือกได้เข้ามาเล่นฟุตบอลยูโร 1996 รอบสุดท้าย ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ
ในศึกยูโร 96 โครเอเชียในฐานะทีมน้องใหม่ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการตะลุยฝ่าด่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ (8 ทีมสุดท้าย) ก่อนไปแพ้ให้กับ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ซึ่งเป็นแชมป์ในปีนั้น
แต่โครเอเชียมาทำผลงานเปรี้ยงปร้างในฟุตบอลโลก 1998 หรือ “ฟรองซ์ 98” ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อพลพรรค “ตาหมากรุก” ชุดนั้นที่ได้ชื่อว่าเป็น “ยุคทอง” นำโดยดาวดังอย่างดาวอร์ ซูเคอร์, ซโวนิเมียร์ โบบัน และสลาเวน บิลิช สามารถทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ แต่สุดท้ายก็ไปแพ้ต่อเจ้าภาพ “ตราไก่” ฝรั่งเศส แบบหวุดหวิด 1-2 ทั้งที่โครเอเชียขึ้นนำไปก่อน
ใครจะไปรู้ว่าอีก 20 ปีต่อมา ฝรั่งเศสกับโครเอเชียจะโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย วันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค.นี้
นอกจากจะเป็นประเทศที่คลั่งไคล้ในเกมลูกหนัง ไม่แพ้บราซิล, สเปน, อิตาลี หรืออังกฤษแล้ว โครเอเชียยังมีผู้นำประเทศที่ชื่นชอบเกมฟุตบอลอย่างมาก นั่นคือ นางโคลินดา กราบาร์-คิตาโรวิช ประธานาธิบดีหญิงแห่งโครเอเชีย นอกจากจะมีหน้าตาสะสวยแล้ว ประธานาธิบดีหญิงของโครเอเชียวัย 50 กะรัต ยังได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากว่าทำตัวติดดิน เนื่องจากนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดเพื่อไปชมเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่โครเอเชียเอาชนะเจ้าภาพรัสเซียในการดวลจุดโทษ
คาดว่านัดชิงชนะเลิศ ประธานาธิบดีคนสวยของโครเอเชีย จะเดินทางมาเชียร์ทีม “ตาหมากรุก” ถึงขอบสนามลุซนิกิอย่างแน่นอน และน่าจะได้เจอกับนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีหนุ่มหล่อของฝรั่งเศส
โครเอเชียชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2018ภายใต้การคุมทัพของซลัตโก ดาลิช กุนซือเชิ้ตขาว มีขุมกำลังที่เป็นนักเตะที่ค้าแข้งในอิตาลีถึง 6 คน ส่วนที่เหลือมี 4 คน เล่นในสเปน, 3 คน เล่นในเยอรมนี, 2 คน เล่นในโครเอเชีย และมีอย่างละคนเล่นอยู่ในอังกฤษ, รัสเซีย, ฝรั่งเศส, ยูเครน, ตุรกี และประเทศอื่นๆ แต่เมื่อนำมาผสมกันแล้ว กลับเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมชนิดไร้รอยต่อ
คู่ชิงฟุตบอลโลก 2018 ต่างมีดีกันคนละอย่าง “ตราไก่” ฝรั่งเศส เป็นทีมที่เก็บ “คลีนชีต” ได้มากที่สุดถึง 4 นัด โดยที่ผ่านมา ฝรั่งเศสเสียประตูไปแค่ 2 นัดเท่านั้น คือ เกมรอบแบ่งกลุ่มที่ชนะออสเตรเลีย 2-1 และเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ชนะอาร์เจนตินา 4-3 แต่อีก 4 แมตช์ที่เหลือ “ตราไก่” ไม่เสียประตูให้คู่แข่งเลยแม้แต่ลูกเดียว
ส่วน “ตาหมากรุก” โครเอเชีย ถูกยกย่องให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษ เพราะในบอลโลกครั้งนี้ “ตาหมากรุก” เก็บชัยชนะได้ตลอดในการเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษ และพวกเขาเล่น 120 นาทีเต็มมา 3 เกมติดต่อกันแล้ว นับตั้งแต่ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ โดยชนะในการดวลจุดโทษ 2 นัด (เดนมาร์กกับรัสเซีย) และชนะในเกม 120 นาที ในเกมรอบตัดเชือกกับอังกฤษ ซึ่งถ้าเกมนัดชิงยืดเยื้อถึงช่วงต่อเวลา อาจเข้าทางโครเอเชียก็ได้
แชมป์โลก 2018 จะเป็นใครกันแน่ ระหว่าง “ตราไก่” ฝรั่งเศส แชมป์หน้าเก่า หรือจะเป็น “ตาหมากรุก” โครเอเชีย แชมป์หน้าใหม่...อีกไม่นานเกินรอได้รู้กันแน่นอน.
หมวดแซม