ไทยรัฐฉบับพิมพ์
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับนักฟุตบอลและโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 ชีวิต ที่ได้รับการช่วยเหลือออกจากถ้ำหลวงได้อย่างปลอดภัยครบทุกคน ท่ามกลางการลุ้นเอาใจช่วยอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ เพียงแต่คนไทยทั้งประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเพื่อนร่วมโลกใบนี้อีกหลายพันล้านคนด้วย
ขณะที่บรรดาคนดังในแวดวงลูกหนังโลกต่างออกมาร่วมแสดงความยินดีที่ภารกิจช่วยชีวิตทีมหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 คน ประสบความสำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี อาทิ ปอล ป็อกบา กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส, เซร์คิโอ รามอส กองหลังกัปตันทีมชาติสเปน รวมถึงสโมสรฟุตบอลชื่อดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และบาเยิร์น มิวนิก
ปฏิบัติการช่วยเหลือหมูป่าติดถ้ำทั้ง 13 ชีวิตในครั้งนี้จะสำเร็จไม่ได้ หากไม่มีการร่วมแรงร่วมใจของหลายหน่วยงานทั้งไทยและนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยซีล ทีมกู้ชีพ นักดำน้ำ ทหาร ตำรวจ แพทย์ และหน่วยอื่นๆอีกมากมาย ที่ระดมสรรพกำลังช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติที่โลกต้องจารึกไปอีกเท่านาน
กลับมาว่าถึงเกมรอบรองชนะเลิศ คู่แรก ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ต่อจากเมื่อวานนี้กันครับ บรรยากาศก่อนเริ่มเกมหน้าสนามเครสตอฟสกี สเตเดียม เป็นไปอย่างคึกคักและเต็มไปด้วยสีสันอย่างมากมีแฟนบอลทั้งฝรั่งเศสและเบลเยียมจับกลุ่มกันร้องเพลงเชียร์อย่างสนุกสนาน ขณะที่เหล่ากองเชียร์ทีมปิศาจแดงแห่งยุโรปมาแบบจัดเต็มทั้งทาหน้าทาตา แต่งตัวฟูลออปชันทั้งแต่งตัวเป็นปิศาจ ใส่วิกสีทอง สร้างสีสันอย่างมากเลยทีเดียว
เกมนี้ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือ “ตราไก่” ฝรั่งเศส มีการปรับทัพจากเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ชนะอุรุกวัย 2-0 เพียงแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น โดยได้ แบลส มาตุยดี กองกลางตัวเก๋า กลับมาเป็น ตัวจริง หลังพ้นโทษแบน 1 นัด ขณะที่แนวรุกยังคงมี อองตวน กรีซมันน์ และคีเลียน เอ็มบัปเป เป็นตัวทีเด็ด โดยมี โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ยังยิงไม่ได้ในบอลโลกครั้งนี้ ยืนเป็นกองหน้าเป้าเช่นเดิม
ส่วนทางฝั่งเบลเยียมของกุนซือโรแบร์โต มาร์ติเนซ จัดทัพใหญ่ลงบู๊ นำโดย เอเด็น อาซาร์,เควิน เดอ บรอยน์ และโรเมลู ลูกากู เป็นสามประสานแนวรุกช่วยกันล่าตาข่าย ขาดเพียง โทมัส มูนิเยร์ วิงแบ็กกราบขวา ที่ติดโทษแบน 1 นัด จากการสะสมใบเหลือง 2 ใบ และเป็น นาเซอร์ ชาดลี ที่ได้ลงเล่นแทน
ช่วงต้นเกม แม้ว่าเบลเยียมจะทำเกมรุกได้วูบวาบกว่า และสร้างโอกาสได้หลายครั้งก็จริง แต่เล่นไปได้สักพัก เกมกลายเป็นเข้าทางฝรั่งเศส ที่ตั้งรับ ได้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง และคอยหาจังหวะโต้กลับ แบบเจ็บๆได้อยู่บ่อยครั้ง โดยอาศัยความเร็วของเจ้าหนู เอ็มบัปเปสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับเบลเยียม
ขณะที่ ราฟาเอล วาราน และ ซามูเอล อุมติตี 2 ปราการหลังของฝรั่งเศส สามารถล็อก โรเมลู ลูกากู กองหน้าเบลเยียม จนแผลงฤทธิ์ไม่ออก ทำให้ เอเด็น อาซาร์ โดดเดี่ยว ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวเลี้ยงฉีกแนวรับทีมตราไก่ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด
แดนกลางของทีม “ตราไก่” เหนือกว่าเบลเยียมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการมี เอ็นโกโล ก็องเต เป็นกองกลางตัวตัดเกมชั้นดี และเกมนี้เป็นอีกนัดที่ก็องเตเล่นได้เด่นมาก เขาสามารถหยุดแนวรุกของ เบลเยียมที่มาจาก อาซาร์ และเควิน เดอ บรอยน์ เอาไว้ได้หมด
แม้ว่าเกมนี้เบลเยียมจะครองบอลได้มากถึง 64 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับมีโอกาสยิงน้อยกว่าฝรั่งเศส ที่ครองบอลแค่ 36 เปอร์เซ็นต์ โดยทีม “ตราไก่” มีโอกาสยิงประตูถึง 19 ครั้ง ต่างจากเบลเยียมที่มีโอกาสยิงแค่ 9 ครั้งเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางหมากที่เขี้ยวสุดๆในเกมนี้ของดิดิเยร์ เดส์ชองส์
เกมนี้ เดส์ชองส์ วางแท็กติกปล่อยให้เบลเยียมครองบอลมากกว่า แล้วให้ลูกทีมเน้นตั้งรับคอยหาจังหวะสวนกลับเร็ว ทำให้เบลเยียมถูกบีบให้เล่นในเกมที่พวกเขาเองไม่ถนัด
ประตูชัยโทนของ “ตราไก่” ในเกมนี้ มาจากจังหวะที่ อองตวน กรีซมันน์ เปิดลูกเตะมุมเข้ามา ก่อนที่ ซามูเอล อุมติตี จะโฉบเข้ามาโหม่งตุงตาข่าย โดยที่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ จอมหนึบเบลเยียม หมดสิทธิ์เซฟในนาทีที่ 51
เท่ากับว่า 44 เปอร์เซ็นต์ของประตูที่เกิดขึ้นในฟุตบอลโลก 2018 มาจากลูกตั้งเตะหรือเซตพีซ และเป็นประตูที่เกิดจากลูกนิ่งลูกที่ 69 จาก 158 ครั้ง (เตะมุม, ฟรีคิก รวมถึงลูกจุดโทษด้วย)
หลังจากขึ้นนำ ฝรั่งเศสก็เล่นแบบประคองตัว โดยมั่นในว่าแนวรับของพวกเขาสามารถรับมือกับแนวรุกของเบลเยียมได้ เพราะสุดท้ายแล้วเบลเยียมก็ทวงประตูคืนไม่สำเร็จ ก่อนที่ “ตราไก่” ฝรั่งเศส เฉือนชนะ เบลเยียม 1-0 ผ่านเข้าไปรอชิงชนะเลิศเป็นทีมแรก
ต้องบอกว่าฝรั่งเศสคู่ควรกับการได้เข้าชิงชนะเลิศแล้วครับ เพราะทำได้ดีกว่า และนี่คือการเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 3 ของ “ตราไก่” ทีมชาติฝรั่งเศส หลังจากที่พวกเขาเคยเข้าชิงมาแล้วในปี 1998 ที่พวกเขาเองเป็นเจ้าภาพ (ได้ แชมป์) และ 2006 (ได้รองแชมป์)
หลังจบเกม กองเชียร์ฝรั่งเศสยังไม่ยอมลุกออกจากสนาม ยังคงร้องเพลงเชียร์กันอย่างสนุกสนาน ต่างจากกองเชียร์เบลเยียมผู้ผิดหวัง ที่รีบลุกออกจากสนามไปอย่างรวดเร็ว
ยังไม่รู้ว่าคู่ชิงชนะเลิศของ “ตราไก่” ฝรั่งเศส จะเป็นใคร แต่ไม่ว่าจะเป็นโครเอเชียหรืออังกฤษ ก็น่า จะเป็นคู่ชิงบอลโลกที่สมน้ำสมเนื้ออีกครั้งแน่นอน
ต้องมาลุ้นกันว่า “ตราไก่” ฝรั่งเศส จะคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของพวกเขาได้หรือไม่.
หมวดแซม