ไทยรัฐออนไลน์
เปิดมุมมองของ “จิติณัฐ อัษฎามงคล” ประธาน "วัน แชมเปียนชิพ" ประจำประเทศไทย หลังคนมวยถูกมองในแง่ลบที่มีส่วนแพร่กระจายของเชื้อ “โควิด-19”
วันที่ 9 พ.ค. 63 “บิ๊กปลาย” จิติณัฐ อัษฎามงคล ประธาน วัน แชมเปียนชิพ ประจำประเทศไทย ออกมาสะท้อนมุมมองความคิดเห็นหลังจากที่คนมวยถูกสังคมมองในแง่ลบที่มีส่วนในการแพร่กระจายเชื้อ “โควิด-19” หรือ ไวรัสโคโรนา จากการเข้าไปชมการแข่งขันชกมวยในช่วงก่อนหน้านี้
“จริงๆ เป็นเวลาที่ลำบากสำหรับวงการกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการมวยไทย ซึ่ง วัน แชมเปียนชิพเอง ในฐานะที่เราเองก็เป็นเจ้าของโปรโมเตอร์มวยไทยที่ วัน แชมเปียนชิพ ที่เป็นลีกมวยไทยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและก็มีนักกีฬามากมาย แน่นอนเราก็ได้รับผลกระทบจากตรงนั้น รู้สึกได้เหมือนกันว่าวงการมวยไทย นักกีฬามวยไทยเนี่ยถูกตัดสินโดยที่ในหลายๆ มุมมันก็ไม่เป็นธรรมกับเขานะ เราก็มีนักกีฬาบางคนที่แบบไม่ได้ไปอยู่ในสนามมวยตอนช่วงที่มีการแพร่ระบาด แต่ว่ามีคนไปใส่ร้ายว่าเนี่ยไปติด ‘โควิด-19’ มา ขึ้นไปบนรถแท็กซี่แล้วถูกรังเกียจ เข้าร้านอาหารแล้วถูกคนมอง มันเหมือนกับว่าคนวงการมวยกลายเป็นตัวเชื้อโรค เราต้องมองข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า ‘โควิด-19’ มันไม่ได้เริ่มต้นจากคนมวยเป็นผู้แพร่ ‘โควิด-19’ มันเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนที่มีเหตุการณ์ที่สนามมวยลุมพินีอีก แน่นอนเราปฏิเสธไม่ได้ว่าในเรื่องของการดูแลความปลอดภัยในเหตุการณ์ครั้งนั้นมันมีส่วนจริงๆ ที่ทำให้เกิดทำให้การแพร่กระจายมันเกิดขึ้น ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าคนมวยที่ติดเชื้อหลายคนเขาก็รวมตัวกันไปรีฟายคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและเดินออกมาประกาศบอกกับสื่อว่า เขาติดนะ ตอนนี้กำลังรักษาอยู่ แล้วก็หลายคนเขาไม่ได้ไปขอเงินใครในการที่เขาจะไปตรวจและบำบัด เขาออกเงินรักษาของเขาเอง และเหมือนนักมวยกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันไปเพื่อที่จะบริจาค ที่เอาพลาสมาไปทำประโยชน์ในการทำวัคซีนในอนาคต”
“อย่างที่ผมบอกว่าใช่ครับเขามีคนในวงการมวยส่วนหนึ่งจริงๆ ที่อาจจะส่งผลทำให้มันเกิดการติดเชื้อตรงนี้ แต่ว่าคุณอย่าเหมารวมทุกๆ คนในวงการมวยว่าเป็นเหมือนกับตัวเชื้อโรคที่แพร่เชื้อ ผมกลับรู้สึกว่าในคนจำนวนหนึ่งควรจะต้องให้เกียรติเขาและขอบคุณเขาในส่วนหนึ่งด้วยซ้ำว่าที่เขากล้าเดินออกมาและประกาศตัวเองว่าเขาติดเชื้อนะ และใครบ้างที่ติดเชื้อช่วยกันแบบออกมารวมตัวกันและก็ให้ทางเจ้าหน้าที่ทางหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานสาธารณสุขรับคุณไปรักษา ซึ่งผมรู้สึกว่าตรงนี้ผมก็ชื่นชมเขาเป็นอย่างมากนะ”
“ลองมองในมุมกลับกันบางทีพวกเขาจะแค่แบบเก็บตัวอยู่เงียบๆ ก็ได้เพราะว่าถ้าเขาติดเชื้อนี่เขาต้องแบกรับค่ารักษาเองนะ มันไม่ใช่ว่าติดเชื้อแล้วสามารถไปแบบขอเงินคนอื่นรักษาได้ แต่คนก็จำนวนไม่น้อยที่เขาก็เดินออกมาแล้วพยายามที่จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ คนมวยเองเขาไม่ใช่คนผิดที่สมควรจะถูกประณาม เพราะถ้าไม่มีอุตสาหกรรมมวย ถ้าไม่มีมวยไทยในประเทศไทย คนจำนวนนับแสนนับล้าน เขาก็มีผลกระทบ นักมวยกับครอบครัวที่ต้องพึ่งพิงกับกำปั้นกับลำแข้งของเขา แน่นอนเขาก็จำเป็นต้องทำมาหากิน สถานการณ์นี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่ง่ายเลยที่เขาจะสามารถผ่านพ้นเอาตัวรอดไปได้แต่เขาก็พยายามต่อสู้โดยที่ก็พึ่งพาคนอื่นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ขอให้พี่น้องประชาชนที่ไม่ว่าจะเป็นคนที่เป็นแฟนมวยหรือไม่เป็นแฟนมวยเนี่ยให้ความเข้าใจเมตตากับพวกเขาเถอะ อย่ามองพวกเขาเป็นตัวแพร่เชื้อโรค เพราะว่าเชื้อโรคมันไม่ได้เกิดขึ้นจากแค่คนมวยเพียงอย่างเดียว เชื้อโรคมันมาก่อนหน้านั้นแล้ว หลักจากนี้ไปผมเชื้อว่าคนในวงการมวยหลายคนจะร่วมมือกันทำให้มาตรฐานตรงนี้มันสูงขึ้น ในเรื่องของความปลอดภัย ความรับผิดชอบต่างๆ ผมได้พูดคุยกับคนในวงการมวย พยายามจะแก้ปัญหาตรงนี้จริงๆ อยากจะปฏิรูปรูปแบบให้มันดีขึ้น กับทั้งคนวงการมวยเองกับทั้งประชาชนทั่วไปที่สามารถจะมีความมั่นใจได้ว่า คุณสามารถกลับมาดูกีฬาแล้วก็ได้เอ็นจอยไปกับสิ่งที่เป็นสมบัติของชาติได้อย่างปลอดภัยได้อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นหลังจากวิกฤตินี้ผ่านพ้นไปแล้ว”