ไทยรัฐออนไลน์
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีนักกีฬาไทยที่สร้างชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเราได้หยิบยก 5 นักกีฬาที่ถือว่าเป็นไอดอลของเด็กไทยมาไว้ในโผนี้ พร้อมเล่าเส้นทางของ "อาร์ม" ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง นักฟุตซอลหมายเลขหนึ่งของทีมชาติไทย ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง
1.) "อาร์ม" ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง
ตอนเด็กมีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ ตอนเด็กๆ เติบโตมาจากฟุตบอล ก็อยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ ช่วงวัยเด็กผมชอบไปงานที่เกี่ยวกับกีฬา เพราะตอนนั้นที่บ้านไม่มีลูกฟุตบอล คืออยากไปโชว์ทักษะต้องเล่นเกมถึงจะได้ของรางวัลนั้นมา ตอนนั้นยิงเข้าประตู 3-4 ลูกจึงได้ลูกฟุตบอลกลับมา และนั่นคือลูกฟุตบอลลูกแรกในชีวิต มันถือเป็นความทรงจำที่ดี
ไอดอลในวัยเด็กตอนนั้นคือ เดวิด เบคแคม เพราะเติบโตมากับการติตตามเชียร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่บ้านเปิดทีวีดู ก็ได้มีโอกาสเห็นเขาลงเล่น ชอบตรงสตอรี่ที่เขาเกิดที่เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นผู้เล่นเยาวชนฝึกฝน มุ่งมั่น อดทน จนไต่เต้าขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และเป็นสตาร์ดังระดับโลกที่ประสบความสำเร็จมากมายกับทั้งสโมสรและทีมชาติอังกฤษ
เส้นทางตอนนั้นเจออุปสรรคมากมาย ตอนเด็กๆ ผมต้องแข่งขันกับคนอื่นๆ ในอำเภอ หลังจากนั้นเราก็เข้ามาในโรงเรียนเพื่อเป็นตัวแทนของโรงเรียน เพื่อมุ่งหน้าไปให้ทีมในกรุงเทพฯ ได้เห็นศักยภาพ จนได้มาอยู่กับสโมสรชลบุรี และก้าวไปสู่การติดทีมชาติ ซึ่งทุกอย่างมันเป็นสเต็ป การติดทีมชาติมันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะมาติดทีมชาติได้เลย ก็อยากให้น้องๆ มีความมุ่งมั่น ความทะเยอทะยาน และความอดทน
สำหรับแชมป์ที่ประทับใจมากที่สุดนั่นคือ แชมป์ กทม.ฟุตซอลลีก อันนี้ถือเป็นบันไดแรกที่ทำให้ก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เลือกฟุตซอลเป็นชอยส์แรก เพราะตอนนั้นแถวบ้านเล่นฟุตบอลกันเยอะ แต่เพราะตอนนั้นโรงเรียนมันอยู่ในอำเภอเล็กๆ ซึ่งด้วยจำนวนผู้เล่นของฟุตบอลที่ต้องมี 11 คน แต่ฟุตซอล 5-6 คนก็เล่นได้แล้ว ซึ่งตอนนั้นทีมฟุตบอลไม่ประสบความสำเร็จก็เลยปรับเป็นทีมฟุตซอลแทน จนรู้ว่ามันเหมาะกับตัวเองหลังจากที่ทีมเอาชนะทีมชั้นนำได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมุ่งหน้าสู่ฟุตซอลอย่างจริงจัง
เป้าหมายต่อไป ด้วยความที่ตอนนี้อายุ 30 แล้ว ปีหน้าถือเป็นปีที่สำคัญมากๆ เพราะฟุตซอลทีมชาติไทยมีคัดไปฟุตซอลโลก จึงอยากจารึกเป็นคนแรกของทีมชาติไทยที่เล่นฟุตซอลโลก 4 ครั้งติด ก็จะพยายามฝึกฝนแล้วก็มีความมุ่งมั่นมากๆ ที่อยากทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ หลังก่อนหน้านี้สร้างชื่อด้วยสโมสรต้นสังกัดอย่าง พีทีที บลูเวฟ ชลบุรี คว้าแชมป์ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชียได้เป็นครั้งแรก เมื่อปี 2556 และได้รางวัลนักฟุตซอลแห่งปีของทวีปเอเชียในครั้งนั้นอีกด้วย ตลอดจนการไปค้าแข้งที่ต่างประเทศกับ เมส ซันกาน ทีมชื่อดังแห่งอิหร่าน ด้วยสัญญายืมตัว เมื่อปี 2559
สุดท้ายเนื่องในโอกาสวันเด็กปี 2563 ที่จะถึงนี้ อยากให้น้องๆ ทุกคนเป็นเด็กดี อยากให้มีความฝันเป็นของตัวเอง ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นอะไร และขอให้มุ่งมั่นทำให้จริงจัง เชื่อว่ามันจะประสบความสำเร็จ
2.) "อุ้ม" ธีราทร บุญมาทัน
แน่นอนว่าหนึ่งในชื่อนักกีฬาไทยที่ถูกพูดถึงมากที่สุดต้องมีเขาอยู่ในโผครั้งนี้ ย้อนกลับไปเส้นทางลูกหนังเขาฝึกปรือฝีเท้ากับ "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตลอดระยะเวลากว่า 6 ปี แต่ด้วยการที่มีเรื่องแตกหักกับสโมสรต้นสังกัดในเวลานั้น จนย้ายไปสู่ทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่าง "กิเลนผยอง" เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และเมื่อคว้าทุกแชมป์ในประเทศจนเบื่อ เขาได้รับโอกาสสำคัญครั้งแรกในการย้ายไปค้าแข้งที่ประเทศญี่ปุ่นกับ วิสเซล โกเบ หลังจากนั้นปีถัดมาก็ย้ายมาสู่ โยโกฮามา เอฟ มารินอส ซึ่งต้องบอกว่าเขาพัฒนาขีดความสามารถจนเป็นส่วนสำคัญในการพาสโมสรคว้าแชมป์เจลีก ครั้งแรกในรอบ 15 ปี พร้อมกับจารึกชื่อเป็นนักเตะไทยคนแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้อีกด้วย
3.) "เทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ
น้องเทนนิส เข้าสู่เส้นทางถนนสายเทควันโดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยมี เยาวภา บุรพลชัย เป็นไอดอลในดวงใจ และเข้าร่วมการแข่งขันเทควันโดเยาวชนทีมชาติไทยตั้งแต่อายุเพียงแค่ 13 ปี เมื่อปี 2554 ด้วยพัฒนาการที่ไม่หยุดหย่อนบวกกับรูปร่างดี จนทำให้ "โค้ชเช" เช ยอง ซอก ดึงมาปั้นเป็นดาวเด่นของทีมชาติจนคว้าแชมป์รายการระดับนานาชาติเป็นว่าเล่น โดยมีผลงานเด่นๆ อาทิ เหรียญทองเทควันโดชิงแชมป์โลก เมื่อปี 2015 และ 2019, เหรียญทองแดง โอลิมปิก ฤดูร้อน 2016, เหรียญทอง เอเชียนเกมส์ 2018 จนในเวลานี้เธอได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักเทควันโดอันดับ 1 ของโลก ในรุ่น 49 กก.หญิง ได้อย่างสง่าผ่าเผย
4.) "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล
จุดเริ่มต้นของ โปรเม คือการที่คุณพ่อของเธอเปิดร้านช็อปขายอุปกรณ์กอล์ฟ และด้วยวัย 5 ขวบในตอนนั้น เธอจึงเอาไม้กอล์ฟไปเล่นๆ อย่างสนุกสนานจนคุณพ่อช่วยสอนในทักษะเบื้องต้น ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอค่อยจริงจังกับเส้นทางนี้ จนในขณะที่อายุเพียงแค่ 9 ขวบ เอรียา จุฑานุกาล ก็ได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันในรายการ "จูเนียร์เวิลด์" ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และคว้าตำแหน่งรองแชมป์กลับมา หลังจากนั้นเธอก็พัฒนาตัวเองขึ้นจนในที่สุดก็ขึ้นไปเขย่าบัลลังก์มือ 1 ของโลกอย่างเต็มภาคภูมิ แม้ในเวลานี้อันดับจะร่นหล่นลงมาบ้าง แต่ก็ยังเป็นนักกอล์ฟชั้นนำของโลกอยู่เหมือนเดิม โดยมีแชมป์รายการหลักๆ อย่าง วีเมนส์ บริติช โอเพ่น ชนะเลิศ เมื่อปี 2559 และยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น เมื่อปี 2561 และเรื่องราวของเธอจนทำให้ถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า "โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง"
5.) "เมย์" รัชนก อินทนนท์
เริ่มต้นเล่นกีฬาแบดมินตันด้วยอายุแค่ 6 ขวบแบบไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากในตอนนั้น กมลา ทองกร เจ้าของโรงงานทำขนมไทยบ้านทองหยอดเกรงว่าเธอจะวิ่งเล่นซุกซนจนอาจเกิดอุบัติได้ ด้วยความบังเอิญพร้อมกับพรสวรรค์และพรแสวงจนทำให้เธอพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วจนอีก 1 ปีต่อมาเธอได้ลงแข่งขันครั้งแรกในรายการ "อุดรธานี โอเพ่น" ปรากฏว่าคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ จนก้าวขึ้นไปสู่การเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว เมื่อปี 2559
ทั้งนี้ยังมีผลงานเด่นๆ ทั้งแชมป์แบดมินตันโลก เมื่อปี 2013 โดยจารึกเป็นนักแบดมินตันไทยคนแรกที่ทำได้ และเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุด, แชมป์เอเชีย 2015 หรือการคว้าแชมป์ซูเปอร์ซีรีส์สามรายการติดต่อกันใน 3 สัปดาห์ ตลอดจนสร้างสถิติโลกใหม่เป็นนักแบดมินตันที่อายุน้อยที่สุดที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ในวัยเพียง 18 ปี.