ไทยรัฐออนไลน์
ทำความรู้จักและเปิดตัวตนของ "ลีออน เจมส์" นักเตะหนุ่มเลือดไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปัจจุบันกำลังโลดแล่นอยู่บนเวทีลูกหนังอังกฤษ แต่วันนี้ได้โอกาสกลับมาตอบแทนแผ่นดินไทยในฐานะนักเตะทีมชาติชุดยู-19...
วันที่ 15 มี.ค.62 หลังการประกาศรายชื่อทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี กลายเป็นที่น่าสนใจขึ้นมาทันทีหลังมีชื่อของนักเตะที่ไปค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกรุ่น ยู-18 กับเลสเตอร์ ซิตี้ อย่าง ลีออน เจมส์ ที่ได้รับโอกาสอยู่ในชุดเตรียมทีมครั้งนี้ด้วย
หลายคนอาจจะพอมีข้อมูล และรู้จัก ลีออน เจมส์ ว่าเขาคือนักเตะของเลสเตอร์ ซิตี้ ในปัจจุบัน แต่ยังมีเรื่องราวอีกหลายแง่มุมที่เราต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา
"ผมไม่ใช่ลูกครึ่ง แต่น่าจะเป็นแค่ลูกเสี้ยว พ่อแม่ผมเป็นคนไทยแท้ โดยมีแค่ปู่ที่เป็นคนอังกฤษเท่านั้น ทำให้ผมมีนามสกุลที่เหมือนกับคนอังกฤษ ชื่อเต็มของผมก็คือ ลีออน พิชญ เจมส์"
"จริงอยู่ที่ส่วนใหญ่แล้วผมจะใช้ชีวิตที่ประเทศอังกฤษ แต่ทุกๆ ปี ผมก็ต้องกลับมาเมืองไทย มาอยู่กับญาติพี่น้อง ซึ่งผมก็พอรู้จักภาษาและวัฒนธรรมของไทยเช่นเดียวกัน"
กับกีฬาฟุตบอลที่พาให้เขามาไกลได้ถึงจุดนี้ ราวกับเป็นความฝัน แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริง เขาต้องแลกอะไรมามากมาย
"ผมเริ่มเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 4 ขวบ ก็เล่นกับคุณพ่อมาเรื่อยๆ จนอายุ 6 ขวบ ผมก็ได้ไปแข่งขันฟุตบอลรายการหนึ่ง ซึ่งจำไม่ได้ว่ามันคือรายการอะไร ตอนนั้นผมทำประตูไปมากมายจนมีแมวมองจาก 3 สโมสร ทั้งโคเวนทรี, เบอร์มิงแฮม และ เลสเตอร์ มาติดต่อให้ไปร่วมฝึกซ้อมกับทีม ซึ่งสุดท้ายผมก็เลือกเลสเตอร์"
"ตลอดช่วงเวลาที่เป็นเด็กผมแทบไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย กิจกรรมทุกอย่างในชีวิตหายไปหมด ผมทำได้แค่ไปเรียนและก็ซ้อมฟุตบอล บอกตรงๆ ว่ามันเหนื่อยมากแต่ผมก็ไม่เบื่อ เพราะผมคิดว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้และสนุกไปกับมันเท่านั้นเอง"
"มันมีหลายช่วงเวลาที่มีอุปสรรคเข้ามามากมาย ก็ต้องขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผมมาตลอด จนมาถึงตรงนี้ได้"
ความเป็นจริงสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ ฟุตบอลไทยกับฟุตบอลอังกฤษ ยังมีความแตกต่างกันสูงทั้งเรื่องของระดับ, การแข่งขัน และอีกหลายสิ่งมากมาย
"ผมยอมรับเลยว่าฟุตบอลอังกฤษกับฟุตบอลไทยมันแตกต่างกันพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือฟุตบอลไทยมีพัฒนาการมากขึ้นกว่าในอดีต"
"การที่เล่นฟุตบอลในอังกฤษกับเล่นฟุตบอลในประเทศไทยมันก็แตกต่างกัน กับสิ่งที่ต้องเจอที่อังกฤษ ผมเจอแต่ละครั้ง ยอมรับว่ามีเจ็บตลอดเวลา เพราะที่นั่นเข้าบอลกันหนัก บางทีมก็โยนยาวอย่างเดียว แต่ที่ไทยเท่าที่สัมผัสหลายคนมีเทคนิคดี มีความเร็วดี และพยายามเน้นการเล่นบอลบนพื้น"
"วันแรกผมยอมรับนะว่าหืดพอสมควรกับการฝึกซ้อม เพราะต้องเจอกับสภาพอากาศที่แตกต่างกันมาก เพราะปกติที่อังกฤษ ร้อนสุดก็แค่ 25 องศาฯ แต่ที่ไทยตอนนี้ที่ผมเจอเหมือนกับอากาศ 40 องศาฯ เลยก็ว่าได้ แต่ผมก็พยายามปรับตัว"
"ส่วนเพื่อนๆ ในทีมก็ถือว่ามีฝีเท้าที่ดีหลายคน เราก็ต้องพยายามปรับตัวเข้าหาเพื่อน ผมอาจจะไม่ได้เข้าใจทุกคำพูด แต่เวลาคุยกันก็เข้าใจอยู่ และเวลาเพื่อนๆ เล่นมุกอะไร ผมก็หัวเราะไปกับพวกเขาและก็มีบ้างที่โดนหยอก มันก็สนุกดี กับการมาเก็บตัวครั้งนี้"
หลากหลายแฟนบอล ต่างโฟกัสสนใจมาที่ตัวของ ลีออน เจมส์ ด้วยการฝึกทักษะลูกหนังกับเลสเตอร์ ซิตี้ มาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน รวมแล้วเป็นเวลากว่า 12 ปี
"ผมสั่งให้ใครสนใจหรือไม่สนใจตัวผมไม่ได้หรอก สิ่งที่ควบคุมได้เพียงอย่างเดียว มีแค่ตัวผมเท่านั้น ผมต้องโฟกัสเสมอว่า เป้าหมายของตัวเองคืออะไร เข้าใจหลักและเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงสนใจเรา"
"ผมจะไม่เอาทุกอย่างมากดดันตัวเอง แต่จะเอามันมาเป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมต้องพิสูจน์ตัวเอง และแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมมีอะไรที่จะช่วยทีมได้"
"โอกาส" ไม่ได้วิ่งเข้าหาทุกคนเสมอไป ที่ผ่านมา มีตัวอย่างหลายคนที่ผ่านมาในชีวิต ทั้งเพื่อนร่วมทีม หรือคู่ต่อสู้ ที่บางคนสามารถก้าวขึ้นไปเล่นกับสโมสรใหญ่ในพรีเมียร์ลีกมาแล้ว
"ตอนนี้ผมก็เล่นให้กับทีมเลสเตอร์ ซิติ้ยู-18 อยู่ ซึ่งทีมผมก็อยู่ในลีกของพรีเมียร์ลีก ซึ่งก็ต้องเจอกับทีมดังๆ มากมาย ทั้งอาร์เซนอล, แมนฯยูไนเต็ด, แมนฯซิตี้, เชลซี รวมถึงลิเวอร์พูล"
"ผมก็ได้เจอนักเตะเก่งๆ หลายคนทั้ง คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ของเชลซี, เจมส์ การ์เนอร์ และเมลสัน กรีนวูด ของ แมนฯยูไนเต็ด"
"คนเหล่านี้สอนให้ผมรู้จักว่าเราต้องทำงานหนัก เขาแสดงให้เห็นแล้วด้วยการก้าวขึ้นไปเล่นกับทีมชุดใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุด มันอาจจะไม่ใช่ความสามารถ แต่มันคือโอกาส เมื่อพวกเขาได้โอกาสหน้าที่มันก็มีเพียงอย่างเดียวคือทำให้ดีที่สุด แสดงความสามารถให้กับทุกคนได้เห็น และสุดท้ายคุณก็จะคว้าโอกาสมาครองได้ อย่าปล่อยให้มันหลุดลอย เพราะหากคุณพลาด โอกาสนั้นอาจจะไม่ได้กลับมาอยู่ในชีวิตอีกเลยก็เป็นได้"
"เพราะฉะนั้นการติดทีมชาติไทยยู-19 ครั้งนี้ก็ถือเป็น "โอกาส" อีกครั้งหนึ่งของตัวผม เพราะฉะนั้นผมก็ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็น เพื่อไม่ปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไป"
"โอกาสที่ผมได้มาในวันนี้ มันเปรียบเสมือนรางวัลสำหรับการทุ่มเทอย่างหนัก รางวัลของการเสียสละ เสียสละที่เราไม่ได้มีวัยเด็กเหมือนคนอื่น แต่โอกาสในครั้งนี้ มันเป็นแค่รางวัลเล็กๆ เท่านั้น หากเราพิสูจน์ตัวเองได้ มันยังมีรางวัลหรือของขวัญชิ้นใหญ่ที่รอเราอยู่"
"ผมพยายามจดจำวันแรกของตัวเองให้ได้เสมอ อย่างเช่นโอกาสในครั้งนี้ ผมจำได้เลยว่าตอนที่เห็นข่าวว่าทีมชาติไทย ยู-19 เรียกตัวเรามาติดทีม เราดีใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด และไม่ปล่อยให้โอกาสมันหลุดลอยไป".