บี บางปะกง
ความสำเร็จที่ไม่มีใครตามทัน
ศึกฟุตบอลไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก 2023/24 รูดม่านปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต้องแสดงความยินดีย้อนหลังกับ พลพรรค “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับการคว้าแชมป์ไทยลีก สมัยที่ 9 อย่างไม่มีพลิกโผ โดยเก็บไปได้ทั้งหมด 69 คะแนน จาก 30 นัด
ที่สำคัญยังเป็นการคว้าแชมป์ไทยลีก 3 สมัยติดต่อกันได้อีกครั้ง หลังจากเคยคว้าแชมป์ไทยลีกติดต่อกัน 3 สมัย มาแล้วครั้งแรกในปี 2013, 2014, 2015 นับเป็น “ทีมแรก” และ “ทีมเดียว” ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยที่สามารถทำได้
โดยแม้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเริ่มต้นฤดูกาลนี้ได้ไม่ดีนัก แต่สุดท้ายแล้ว “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร และ “ซ้อต่าย” กรุณา ชิดชอบ ก็โชว์ฝีมือการบริหารจัดการทีมได้อย่างมหัศจรรย์ แก้ปัญหาได้รวดเร็วตรงจุด ทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาแซงคู่แข่งอย่าง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด จนคว้าแชมป์ได้ในที่สุด
ส่วน “เจ้าอาม” ศุภชัย ใจเด็ด กองหน้าตัวเก่ง ก็สามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน จากผลงานการทำประตูในลีกได้ถึง 21 ลูก นับเป็นนักเตะไทยคนแรกในรอบ 15 ปี ที่สามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวไทยลีกได้ 2 ปีซ้อน
ขณะที่กองหลังลูกหม้อของทีมอย่าง ชิติพัทธ์ แทนกลาง หรือ CT14 ที่อยู่กับสโมสรมาตั้งแต่ปี 2012 ก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ด อำลาสนามในแมตช์สุดท้ายเช่นกัน โดยชิติพัทธ์นับเป็นนักฟุตบอลที่เล่นกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพียงสโมสรเดียวตลอดอาชีพการค้าแข้ง นี่คือ One Club Man ที่แท้จริง
หลังจบการแข่งขันแมตช์นี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้มีการเฉลิมฉลองตำแหน่งแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 9 อย่างยิ่งใหญ่ต่อหน้าแฟนบอลมากถึง 32,222 คน ที่เข้ามาชมเกมจนเกือบเต็มความจุของสนาม (สนามช้างอารีนา มีความจุ 32,600 ที่นั่ง) เรียกได้ว่าสนามเล็กลงไปถนัดตา เพราะอัดแน่นไปด้วยแฟนบอล ปราสาทสายฟ้า ที่ต้องการเข้ามาสัมผัสบรรยากาศการฉลองแชมป์ส่งท้ายฤดูกาล
เสียงเพลง We are the Champions (วี อาร์ เดอะ แชมเปียนส์) ดังกึกก้องไปทั่วสนาม พร้อมๆ กับการแสดงพลุสุดตระการตาที่ยิงขึ้นฟ้าเหนือสนามช้างอารีนา ตามมาด้วยเสียงปรบมือและการกู่ร้องด้วยความดีใจของแฟนบอล ถือเป็นการปิดฉากฤดูกาลอย่างน่าประทับใจ และยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า ปราสาทสายฟ้า ยังคงเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นทีมเดียวที่ได้แชมป์ไทยลีกสูงสุดถึง 9 สมัย ได้แก่ 2011, 2013, 2014, 2015, 2017, 2018, 2021/22, 2022/23 และปีล่าสุด 2023/24
ก่อนการแข่งขันทุกแมตช์ เนวิน ชิดชอบ มักจะพูดปลุกใจนักกีฬาในทีมเสมอว่า “มีเท่าไร ใส่ให้หมด” จึงไม่น่าแปลกใจที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเป็นทีมที่มีคาแรกเตอร์ของนักสู้อย่างชัดเจน ด้วยการ “สู้สุดหัวใจ” ในทุกเกมการแข่งขัน ทำให้พวกเขามักจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้เสมอ ดังเช่นผลงานที่เห็นในฤดูกาลนี้ที่แม้ บุรีรัมย์ จะเริ่มต้นได้ไม่ดีนักในเลกแรก แต่สุดท้ายก็พลิกสถานการณ์กลับมาจนคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงทีมเล็กๆ เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ในวันนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 15 ของสโมสร ด้วยการเป็นสุดยอดทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งยังไม่มีใครสามารถโค่นลงได้ เป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด จากบุรุษผู้อยู่เบื้องหลังนามว่า “เนวิน ชิดชอบ” พร้อมด้วยคนข้างกายอย่าง “กรุณา ชิดชอบ” ที่จับมือกันเดินหน้าพัฒนาสโมสรอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อความสุขของแฟนบอล และตอบแทนความไว้วางใจของผู้สนับสนุนที่อยู่เคียงข้างกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาโดยตลอด
ไม่เพียงแต่ผลงานในสนามเท่านั้นที่ทำให้แสงสปอตไลต์ส่องมายังบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพราะนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพันธกิจหลัก (Mission) จากแผนยุทธศาสตร์ที่ เนวิน ชิดชอบ ได้ตั้งเป้าเอาไว้เท่านั้น แต่การสร้างสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ให้เป็นองค์กรกีฬาต้นแบบของประเทศไทย รวมถึงใช้ “กีฬา” สร้างเมืองบุรีรัมย์ให้กลายเป็นเมืองหลัก ไม่ใช่แค่เมืองผ่าน นั่นต่างหากคือเป้าหมายใหญ่ของผู้ชายคนนี้
เมื่อพันธกิจหลักคือ ใช้กีฬาสร้างเมือง ถูกกำหนดให้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ฟันเฟืองต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักกีฬา สตาฟฟ์โค้ช เจ้าหน้าที่ทีมทุกชีวิต ตั้งแต่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายปฏิบัติงาน ไม่เว้นแม้แต่แม่บ้านทำความสะอาด ล้วนแต่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม จนสอดประสานให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นองค์กรกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้มากที่สุดถึง 9 สมัย และยังเป็นการได้แชมป์ไทยลีก 3 สมัยต่อเนื่องถึง 2 ครั้ง ซึ่งยังไม่มีทีมใดเคยทำได้มาก่อน
เป็นทีมที่มีระบบอะคาเดมีที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ สามารถสร้างนักกีฬาดาวรุ่งฝีเท้าเด่น วินัยดี ทัศนคติเยี่ยม ให้เข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สุภโชค สารชาติ ที่ปัจจุบันโดดเด่นอยู่ในเจลีกกับสโมสรคอนซาโดเล ซัปโปโร หรือ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ลงเล่นในเบลเจียน โปรลีก (ลีกสูงสุดของเบลเยียม) กับสโมสรโอเอช ลูเวิ่น และเป็นคนแรกที่ทำประตูได้ด้วย
ปัจจุบัน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี ภายใต้การบริหารของ “ชนน์ชนก ชิดชอบ” (ลูกชายของเนวิน ชิดชอบ) ก็ยังสร้าง ธนกฤต โชติเมืองปัก ดาวรุ่งฝีเท้าจัดจ้าน อายุเพียง 17 ปี ให้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมชุดใหญ่แทนที่ สุภโชค และ ศุภณัฏฐ์ ได้แล้ว
นอกจากนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังมีสนามแข่งขันสุดยิ่งใหญ่อย่าง “ช้างอารีนา” ที่มีมาตรฐานระดับโลก เคยได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Four Four Two ให้อยู่ใน 100 อันดับแรกของสนามฟุตบอลที่สวยที่สุดในโลกมาแล้ว ในวันที่มีการแข่งขันฟุตบอลของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะมีแฟนบอลเข้ามาชมเกมในสนามเฉลี่ยแล้วมากกว่า 20,000 คนต่อแมตช์ ถือเป็นทีมที่มียอดผู้ชมในสนามสูงที่สุดในลีกทุกปี โดยนอกจากการแข่งขันฟุตบอลแล้ว สนามแห่งนี้ก็สามารถจัดกิจกรรมพิเศษอื่นๆ เช่น คอนเสิร์ต ที่รองรับผู้ชมจำนวนมากได้ ดังที่สโมสรเคยจัดมาแล้ว และมีคนมาร่วมงานมากกว่า 500,000 คนเลยทีเดียว ดังนั้น บุรีรัมย์ ในวันนี้ จึงไม่ได้เป็นแค่ “เมืองผ่าน” อีกต่อไป
ขณะเดียวกัน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังมีเสื้อแข่งขันที่เป็น Soft Power ของสโมสรด้วย หรือหากจะพูดว่าเป็น Soft Power ประจำจังหวัดบุรีรัมย์เลยก็คงไม่ผิดนัก ในแต่ละปีสโมสรสามารถขายเสื้อแข่งขันได้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ตัว ถือเป็นสโมสรฟุตบอลที่มียอดขายสินค้าที่ระลึกสูงที่สุดในประเทศไทย และยิ่งผลงานในสนามประสบความสำเร็จมากเท่าใด ยิ่งทำให้แบรนด์ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงขึ้นเรื่อยๆ สินค้าประเภทใดก็ตามเมื่อติดแบรนด์ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เข้าไปแล้ว ยิ่งทำให้สินค้าประเภทนั้นมีมูลค่าสูงขึ้นจนเป็นที่ต้องการของแฟนบอลมากขึ้นไปด้วยทันที
แม้จะประสบความสำเร็จทั้งด้านผลงานในสนาม และด้าน Branding ที่ทำให้ทีมมีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจกีฬา แต่ “บิ๊กเน” ก็ยังไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นพันธกิจหลักที่องค์กรชั้นนำทุกแห่งล้วนต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เริ่มต้นโปรเจกต์แรกในปี 2019 ที่ครบรอบ 10 ปีของสโมสร ด้วยการนำขวดน้ำพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเส้นใยเพื่อนำมาผลิตเป็นเสื้อที่ระลึก 10 ปี และนับตั้งแต่ปี 2020 มาจนถึงปัจจุบัน คอลเลคชันเสื้อแข่งขันไทยลีก “ทุกตัว” ของสโมสรล้วนถูกผลิตขึ้นโดยเส้นใยที่รีไซเคิลจากขวดน้ำพลาสติกทั้งสิ้น โดยเสื้อ 1 ตัว ทำจากขวดพลาสติกราว 10-14 ขวด หากนับรวมๆ ตั้งแต่ปี 2019 มาจนถึงปัจจุบัน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ช่วยทำลายขวดพลาสติกให้โลกใบนี้ไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านขวดเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้คือ ความสำเร็จที่เกิดจากการตั้งเป้าหมายอย่างยิ่งใหญ่ ชัดเจน และวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ ใส่ใจในทุกรายละเอียด ให้ความสำคัญกับทุกฟันเฟืองที่หลอมรวมจน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายมาเป็นองค์กรกีฬามืออาชีพที่บริหารสโมสรฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย
ภายใต้การนำของชายที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ”
- บี บางปะกง -
joggingboy_be@yahoo.com