ไทยรัฐออนไลน์
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต จัดงานเปิดตัวผู้สนับสนุน ผนึกกำลังเพื่อฟุตบอลไทยลีก ฤดูกาล 2022/23 และกีฬาอีสปอร์ต ท่ามกลางสายฝน ที่แคมป์ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี
วันที่ 23 ส.ค. 65 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต จัดงานเปิดตัวผู้สนับสนุนจำนวน 29 แบรนด์ ในการผนึกกำลังเพื่อการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกฤดูกาล 2022/23 และการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางสายฝน ที่แคมป์ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา
ภายในงานได้แสดงศักยภาพการพัฒนานักฟุตบอลระดับเยาวชน จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี ที่สามารถขึ้นไปทดแทนผู้เล่นชุดใหญ่ได้ในอนาคต โดย นายเนวิน ชิดชอบ ในฐานะประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าวเปิดงานและพูดถึงเป้าหมาย รวมถึงแสดงวิสัยทัศน์ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่จะมีขึ้นในปี 2022/23 พร้อมด้วย นายไชยชนก ชิดชอบ ประธานบริษัทบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต, นายชนน์ชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเยาวชน สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
นายเนวิน กล่าวว่า “เป้าหมายของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ของเราต่อจากนี้คือการป้องกันแชมป์ทั้ง 3 แชมป์ ซึ่งการรักษาแชมป์มันสำคัญกว่าการเป็นแชมป์ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นทีมเดียวในเอเชียที่สามารถคว้าแชมป์ 3 แชมป์ต่อหนึ่งฤดูกาลได้ถึง 4 ครั้ง พวกเราเชื่อว่าการทำทีมฟุตบอลไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ อยู่ที่การสร้างคนให้เป็นคน และสำคัญที่สุดคือการสร้างวินัย ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าฟุตบอลจะประสบความสำเร็จได้ เฉพาะพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ผมเชื่อว่าการเป็นมนุษย์ พรแสวงสำคัญที่สุด ปีนี้เรามีเด็กอะคาเดมีมากกว่า 140 คน ปีที่แล้วเรามี 200 กว่าคน ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อปีอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท เพราะเราต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องที่พัก อาหาร การเรียน ทั้งหมดทุกอย่าง”
ด้าน นายไชยชนก ชิดชอบ เผยว่า “ในส่วนของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต ผลงานที่ผ่านมา ถ้าเทียบกับมาตรฐานของบุรีรัมย์แล้ว ถือว่ายังดีไม่พอ เพราะว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของนักกีฬาที่ค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา ทำให้นักกีฬาอยู่ภายใต้ความกดดัน ทำให้มีปัญหาที่ทำให้ผลงานผ่อนลง แต่อย่างไรก็ดีก็ยังมีผลงานติดท็อป 3 ทั้งหมด เพียงแค่เทียบกับมาตรฐานบุรีรัมย์แล้ว ถือว่าไม่เพียงพอ”
ขณะที่ นายชนน์ชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเยาวชน กล่าวต่อว่า “การทำฟุตบอลระดับเยาวชนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรามี 143 ชีวิตที่ต้องดูแล ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องฟุตบอล แต่ดูทั้งเรื่องการเรียน การเป็นอยู่ของเด็กๆ ทุกคน และผมต้องดูแลเด็กตั้งแต่เด็กอายุ 8-21 ปี ซึ่งหนึ่งวันผมต้องคุมซ้อมและอยู่กับเด็กถึง 6 ชั่วโมง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทุ่มเทไปนี้ เพราะผมมองว่าถ้าเรามีความกระหาย ความอยาก ความรู้สึกจะถ่ายทอดไปยังเด็กๆ เพราะว่าเยาวชนเหล่านี้ก็มองหาต้นแบบในการใช้ชีวิตเพื่อเอาไปเป็นแบบอย่าง ซึ่งผมก็พยายามถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ว่า ผมไม่ได้เก่งอะไร แต่สิ่งที่ผมมีคือเราทำงานหนัก ก็หวังว่าเด็กๆ ทุกคนในอะคาเดมีจะเห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะตั้งแต่ทีมชุดใหญ่มาจนถึงเด็กอะคาเดมี การทำทีมของเราไม่ได้มองที่พรสวรรค์ แต่เรามองที่พรแสวง เพราะผมไม่ได้มองว่าเด็กๆ เริ่มจากจุดไหน แต่มองว่าเด็กๆ สู้ขนาดไหน และจุดจบของกราฟของคุณอยู่ที่เท่าไร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราจะทำให้ดีที่สุดครับ”.