บี บางปะกง
คิงส์คัพ...ต้องหนีฝน !!
ภารกิจล่าแชมป์ลูกหนังคิงส์คัพ (สัญจร) ของขุนพลนักเตะทีมชาติไทย สำเร็จไปแล้วครึ่งนึงครับ!
แม้จะเปียกปอนทุลักทุเลไปตามๆกัน แต่บรรยากาศอันสุดยอดของแฟนบอลชาวใต้ที่สนามติณสูลานนท์ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
ก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจ และอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
กับการต้อนรับแข้งช้างศึกชุดใหญ่ ที่ยกพลมาเยือนสงขลาเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ
สิ่งที่ผมได้เห็นจากเกมที่แข้งไทยเฆี่ยนชนะ ฟิลิปปินส์ ไปได้ตามคาด 3-1 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ ทีมชาติซีเรีย ในวันจันทร์ที่ 14 ต.ค.นี้
คือความมุ่งมั่นของกุนซือ มาซาทาดะ อิชิอิ ที่ต้องการสร้างทีมชาติไทยยุคผลัดใบ...อย่างจริงจัง
การเปิดโอกาสให้แข้งหน้าใหม่ อย่าง อภิสิทธิ์ โสรฎา , คคนะ คำยก
รวมทั้ง อนันต์ ยอดสังวาลย์ กับ ปรเมศย์ อาจวิไล สตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมนี้
เป็นการแสดงให้เห็นว่า เขาต้องการจะดูฟอร์มของผู้เล่นเหล่านี้ให้เห็นจะจะกับตา
ว่าเมื่อลงเล่นทีมชาติแล้วจะเป็นอย่างไร และจะมีใครบ้าง? ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักที่ต้องใช้งานได้จริง ในอนาคต
เช่นเดียวกับการวางรากฐานในแนวรับอันมั่นคง โดยมี เอเลียส ดอเลาะ กับ “ส้มเช้ง” โจนาธาร เข็มดี ปักหลักอย่างถาวร
และน่าจะเป็นคู่หูกำแพงเหล็กที่ไว้วางใจได้ของทีมชาติเจนนี้...ไปได้อีกนานหลายปีเลยทีเดียว
ส่วนแนวรุก “กัปตันเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ยังคงมีพิษสงร้ายกาจอยู่เสมอ
ถ้าฟิตเต็มถังเมิ่อไหร่ ก็ยากที่คู่ต่อสู้จะหยุดอยู่
เช่นเดียวกับ “เจ้าแบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาในครึ่งหลัง
ก่อนจะเป็น “ซุปเปอร์ซับ” ซัลโวเบิ้ลคนเดียวสองลูก พาช้างศึกเข้าชิงได้ในที่สุด
ซึ่งเป็นการเรียกความมั่นใจของเจ้าตัวให้คืนกลับมา (อีกครั้ง)
หลังจากไม่ค่อยได้รับโอกาสมากนัก ในการค้าแข้งที่เบลเยี่ยม กับต้นสังกัด โอเอช ลูเวิน
ขณะที่ “เท่ห์” เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ก็เป็นอีกคนที่คัมแบ็กทีมชาติ ได้อย่างเร้าใจ
เป็นตัวจุดระเบิดชั้นดี ในเกมรุกของทีมช้างศึกยุค อิชิอิ
น่าเสียดายเกมกับฟิลิปปินส์ น่าจะสนุกและดูดีมีคุณภาพ มากกว่านี้ อีกหลายเท่าตัวนัก
ถ้าไม่เจอพิษพายุฝนถล่มลงมาอย่างหนัก แบบไม่ลืมหูลืมตา
จนต้องหยุดเกมลงชั่วคราว และทำท่าจะต้องยกเลิกไปซะแล้ว...ด้วยซ้ำ
ยังดีที่ผู้จัด และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พยายามช่วยกันแก้สถานการณ์อย่างเต็มที่ ทุกวิถีทาง
ก่อนจะกลับมาเล่นต่อกันได้จนจบการแข่งขัน และทีมชาติไทยเข้าชิงสำเร็จสมใจปรารถนา
ซึ่งปัญหาเรื่องฟ้าฝน เป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้เกมฟาดแข้งฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพในช่วงหลังๆมานี้
เสียรสชาติ อรรถรส และเสียรังวัด ของทัวร์นาเมนต์อุ่นเครื่องฟีฟ่า “ระดับ A แมตช์” ไปบานตะเกียง
เมื่อไม่นานมานี้ “บิ๊กแป๊ะ” ถิรชัย วุฒิธรรม พหูสูตกีฬาเมืองไทย เคยเข้ามาเมนต์ในเพจ บี บางปะกง - Bebangpakong ของผมว่า
สมัยก่อนบอลคิงส์คัพ มักจะจัดขึ้นปลายปี ช่วงหน้าหนาว ตอน เดือน พ.ย.- ธ.ค. ใกล้กับวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวามหาราช
หรือจะเลยไปหน่อย ก็เป็นช่วง ม.ค.ของปีถัดไป ซึ่งบ้านเราปลอดจากฝนร้อยเปอร์เซนต์
แต่ไม่รู้ว่าทำไม? ศึกลูกหนังชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงเปลี่ยนพีเรียดมาจัดช่วง “ฤดูฝน” กันเป็นประจำ
โดยเฉพาะ 4 ครั้งหลังสุดของคิงส์คัพ ต้องเผชิญกับพายุฝนตกทุกครั้งไป
ตั้งแต่ มิถุนายน 2019 คิงส์คัพ ที่บุรีรัมย์ , กันยายน 2022 และ 2023 ที่เชียงใหม่ 2 ปีติด
จนมาถึงคิงส์คัพสงขลา ล่าสุดในปีนี้ ที่เพิ่งโดนพระพิรุณกระหน่ำไปเต็มๆ
ก็ฝากย้ำเตือน ถึง “นายกแป้ง” นวลพรรณ ลำ่ซำ ที่ผมได้ยิงคำถามไปแล้วในการไลฟ์สด โปรโมตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ก่อนหน้านี้
ว่าเป็นไปได้หรือไม่? ที่ศึกคิงส์คัพ ปีหน้า และปีต่อๆไป จะเปลี่ยนช่วงเวลาจัดให้ไม่ตรงกับหน้าฝน
ซึ่งตรงนี้ นายกฯนวลพรรณ ได้รับปากแล้วว่า จะพิจารณาหาช่วงเวลาใหม่ที่เหมาะสมกว่าเดิม
ในการจัดแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพของบ้านเรา
ให้ราบรื่น สมบูรณ์แบบ ประทับใจ ไร้อุปสรรค มากกว่าเดิม อย่างแน่นอน
เอาเป็นว่า “มาดามแป้ง” ขอเชิญชวนแฟนบอลชาวไทยมาร่วมลุ้นทีมชาติไทย จันทร์นี้
ให้ได้ฉลองแชมป์ถ้วยพระราชา เป็นครั้งแรก ในรอบ 8 ปี ให้ได้ กันเสียก่อน
แล้วค่อยมาช่วยกันคิดจัดศึกคิงส์คัพ “หนีฝน” ในปีหน้า 2568 เป็นต้นไป
เพื่อความแฮปปี้ อย่างถ้วนทั่ว กันทุกคน อย่างแท้จริง !!!
- บี บางปะกง -
joggingboy_be@yahoo.com