ไทยรัฐฉบับพิมพ์
หลังจากที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯประกาศแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ โค้ชชาวญี่ปุ่นวัย 56 ปี ให้เข้ามาทำหน้าที่กุนซือคนใหม่ของทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ แทนที่ มาโน โพลกิง ที่พา “ช้างศึก” ทำผลงานไม่เข้าเป้า ในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก 2 นัดแรก จนต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไป
จริงๆเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เซอร์ไพรส์อะไรเพราะก่อนหน้านี้ กุนซือเลือดซามูไรได้รับคำสั่งให้เข้ามานั่งเป็นประธานเทคนิคของ “ทีมชาติไทย ชุดใหญ่” ในช่วงทำศึกฟุตบอลคิงส์คัพ 2023 ที่ จ.เชียงใหม่
ทุกคนจึงรู้ดีว่า “มาโน” ไม่น่ารอด
แม้ว่าฟอร์มการเล่นของนักเตะในคิงส์คัพจะออกมาดี ทำให้ “มาโน” ได้ต่อลมหายใจอีกเฮือก แต่ก็เหมือนเฮือกสุดท้าย “รอวันจากลา” สุดท้ายเรื่องราวของเฮดโค้ชบราซิเลียน-เยอรมัน ก็จบลงด้วยการที่เขาถูกปลด สิ้นสุดระยะเวลาการทำงาน 2 ปี กับ 2 แชมป์อาเซียน
สำหรับ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือคนใหม่ของทีมชาติไทย ถือว่าได้การยอมรับมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นในประเทศญี่ปุ่น เขาเคยพาทีม คาชิมา อันท์เลอร์ส เข้าไปเล่นในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก “ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ” มาแล้ว ในปี 2016
แต่กระนั้นแฟนบอลไทยจดจำเขาได้ดีมากกว่า กับผลงานการพา “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” คว้า 3 แชมป์ 2 ปีติดต่อกัน ในฤดูกาล 2021-2022 และ 2022-2023
ขณะเดียวกันผู้สันทัดกรณีหลายคนต่างออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่า นาทีนี้ อิชิอิคือคนที่มีโปรไฟล์เหมาะสมกับตำแหน่งโค้ชคนใหม่ของทีมชาติไทยมากที่สุด
การดีล “อิชิอิ” เข้ามาทำหน้าที่นี้ได้ ก็คงต้องให้เครดิต “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ในฐานะผู้จัดการทีมที่ดูจะร้อนรุ่มมากที่สุด เมื่อ “ทัพช้างศึก” แพ้คาบ้านให้กับ “มังกร” จีน คาบ้านที่ราชมังคลา กีฬาสถาน ในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก รอบ 2 นัดแรก
เธอไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานเกินไป...หลายฝ่ายชื่นชม
ซึ่งต่อมา “มาดามแป้ง” ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยเงื่อนไขของเวลาที่จำกัด ก่อนถึงเอเชียนคัพรอบสุดท้าย ที่ประเทศกาตาร์ในเดือน ม.ค.2567 และฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกที่เหลืออีก 4 นัด
“เรา” จำเป็นที่จะต้องเลือกโค้ชที่เข้ามาแล้วทำงานได้ทันที
“เขา” รู้จักคุ้นเคยกับนักฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี และมีประสบการณ์-ผลงานอันเป็นที่ประจักษ์
มั่นใจว่านี่คือ “คนที่ใช่”
“อิชิอิ” จะประเดิมการทำหน้าที่คุมทัพอย่างเป็นทางการในวันขึ้นปีใหม่ 1 ม.ค.67 ด้วยการพาทีมชาติไทยอุ่นเครื่องกับ “ซามูไร บลู” ทีมชาติญี่ปุ่น ที่กรุงโตเกียว (ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ถ่ายทอดสด 12.00 น.)
จากนั้นจะเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์จริงในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติเอเชีย หรือ “เอเชียนคัพ 2023”
ซึ่งทีมชาติไทยอยู่ในกลุ่มเอฟ ประเดิมรอบแบ่งกลุ่ม นัดแรกพบ คีร์กีซสถาน วันที่ 16 ม.ค.67 เวลา 21.30 น. จากนั้น 21 ม.ค.67 พบกับ โอมาน เวลา 21.30 น. และ 25 ม.ค.67 พบกับ ซาอุดีอาระเบีย เวลา 22.00 น.
จากนั้นต่อด้วยโปรแกรม ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 กลุ่มซี ที่เหลืออีก 4 นัด บุกเยือน เกาหลีใต้ 21 มี.ค.67 และกลับมาเล่นในบ้าน พบกับ เกาหลีใต้ อีกครั้งในวันที่ 26 มี.ค. ตามด้วยวันที่ 26 มิ.ย. ออกไปเยือน จีน และปิดท้ายในการได้เล่นในบ้านเจอกับ สิงคโปร์
ว่ากันว่า “คัดบอลโลก” 2 นัดต่อจากนี้สำคัญอย่างยิ่ง
หากแบ่งแต้มกับทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอย่าง “โสมขาว” เกาหลีใต้ ได้สำเร็จ ก็ยังมีโอกาสลุ้นต่อ
แม้จะเป็นงานที่ยาก แต่หาคิดในมุมดี “ในโลกของฟุตบอล อะไรก็เกิดขึ้นได้”
เฉกเช่นเดียวกันกับวลีที่ว่า สถานการณ์จะสร้างวีรบุรุษ
“อิชิอิ” จะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ อีกประเดี๋ยวได้รู้กัน!!!
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่