เบี้ยหงาย
ขนาดเป็นช่วงการเมืองเปลี่ยนผ่าน เป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะพิสูจน์เสียงที่ประชาชนเลือก กับเสียงในสภาที่ยังมีเมฆหมอกเดิมๆปกคลุมอยู่เฉกเช่นในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา จะผสมปนเปกันอย่างไร และเคารพต่อประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศได้ขนาดไหน
เรื่องของนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ชื่อ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง กับวิกฤติศรัทธาที่สะสม ก่อนจะมาแตกหักด้วยการถูกตำหนิโดยตรงจากผู้ยิ่งใหญ่อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บุรุษที่สวมหมวกหลายใบในวงการกีฬา จากความล้มเหลวของบอลไทยในซีเกมส์ด้วยการให้ “ลาออก” ก็เบียดแย่งพื้นที่ข่าวมาได้บางส่วนสะท้อนถึงความสนใจของผู้คนกับเหตุการณ์นี้ ดังน่าดู
และแม้ว่าการพูดในที่ประชุมโอลิมปิกไทยวันนั้น พล.อ.ประวิตรสวมหมวกในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย
แต่ความศักดิ์สิทธิ์แห่งคำพูดนั้น ด้วยปาก ประธานโอลิมปิก หรือตำแหน่งแห่งหนของ พล.อ.ประวิตร ในฐานะอะไรบนแผ่นดินนี้ ยุคนี้ ก็วิเคราะห์กันตามสะดวก
แน่นอน การจะออก ไม่ออก ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ดูจะเป็นเรื่องรอง ด้วยสิ่งที่ใหญ่กว่า นั่นคือผลกระทบจากการออกที่ไม่เป็นปกติ และสุ่มเสี่ยงต่อการขัดระเบียบของฟีฟ่าในประเด็น “แทรกแซง” ที่จะส่งผลตรงถึงระบบฟุตบอลไทยต่อสังคมแห่งโลกฟุตบอล
นั่นจึงทำให้สถานการณ์เปลี่ยน จะโดยตั้งใจ ไม่ตั้งใจ หรือจงใจหยิบขึ้นมาเล่นหรือไม่ ก็ทำให้เกมนั้นเปลี่ยนแน่ๆ รวมถึงการที่สภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลฯจะมีมติยับยั้งไม่ให้ พล.ต.อ.สมยศ ลาออก ยิ่งชัดเจนมาก
และพลันที่นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯเปลี่ยนสถานะจากการตั้งรับ น้อมรับในช่วงแรก กลับมาเป็นการตอบโต้ด้วยความแข็งกร้าวอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นกันนัก ทั้งเรื่องศักดิ์ศรี และสอนสั่งถึงสิ่งที่ควรกระทำคือการเรียกไปพูดคุย ไม่ใช่ประจานในที่ประชุมหรือวิจารณ์ผ่านสื่อ
นอกจากการโต้แย้ง พล.อ.ประวิตรแล้ว ยังพาดพิงถึงคนใกล้ตัวด้วยคำเปรียบเปรยเป็น “พวกไดโนเสาร์ล้านปี” ทั้งในเวลาต่อมาก็ยังออกมาวิพากษ์ถึงรัฐบาลด้วย ปรากฏในสื่อถึงคำให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า “รัฐบาลเราไม่เคยให้การสนับสนุนจริงจังเลย มีแต่รอให้ประสบความสำเร็จแล้วก็เกณฑ์ไปเข้าทำเนียบ ค่ารถยังไม่ให้เลยด้วยซ้ำ ก่อนไปซีเกมส์บอกอยากได้เงินเท่าไหร่ว่ามา นี่ซีเกมส์จบไปเป็นเดือนแล้ว สมาคมยังไม่ได้รับเงินสักบาท ต้องสำรองจ่ายออกไปก่อน”
มาถึงตรงนี้ จะเป็นด้วยเหตุผลหลักหรือข้อกังวลจนเกินจริงก็ตาม ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ไม่มีอะไรเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆในองค์กรฟุตบอลไทย ผู้คน แฟนบอล ความรู้สึกยังเป็นดังเดิม ปัญหามากล้นเช่นเดิม เหมือนเป็นเพียงแค่ลมร้อนวูบมาและพัดผ่าน สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ มีหน้าที่ต้องแก้ปัญหาต่อไปในเวลาที่เหลือ จนกว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า
จะอยู่ต่อ หรือจะไป ใครสู้กับใครไว้ว่ากันในตอนนั้น
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาในสายลมและสัมผัสได้เช่นกัน เพียงมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับฟุตบอล
กลับส่งสัญญาณถึงความ “โรยรา” ไม่ขลังเหมือนเก่าก่อน เหล่าไดโนเหมือนนกรู้ ดูสงบเสงี่ยมเจียมตัว
มนตร์เสื่อมแล้วหรือไง...
“เบี้ยหงาย”