บี บางปะกง
ภายหลังที่ทีมช้างศึกจูเนียร์ได้ไปแสดงผลงาน ในศึกฟุตบอล “ดูไบคัพ” เมื่อเร็วๆนี้ สะท้อนให้เห็นว่าทีมนี้มีจุดอ่อนและจุดแข็งตรงไหน แต่อย่างไรก็ตาม ศึกดังกล่าวเป็นเพียงการอุ่นเครื่องเพื่อดูความพร้อมเท่านั้น
แต่จากนี้ไปก่อนที่จะถึงศึกแห่งศักดิ์ศรีคือ “ฮานอยเกมส์” หรือซีเกมส์ ซึ่งเป็นเกมสุดยอดของชาติในอาเซียน ซึ่งจะเริ่มเปิดโอกาสให้นักกีฬา ได้แสดงศักยภาพกันในเดือนพฤษภาคมนี้
ต้องยอมรับว่าฟุตบอลเป็นหนึ่งในชนิดกีฬา ที่คนไทยคาดหวังว่าเหรียญทอง ซึ่งเป็นเหรียญแห่งศักดิ์ศรีต้องเป็นของไทยเท่านั้น
แต่ถ้าจะย้อนไปในซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์แฟนลูกหนังทั้งประเทศคงจะทราบดีว่าในครั้งนั้น นักเตะไทยภายใต้การนำของอากิระ นิชิโนะ ยอดโค้ชจากแดนปลาดิบ ไม่สามารถนำทีมให้ก้าวไปสู่ฝั่งฝันได้
การตกรอบในซีเกมส์ครั้งนั้น วันนี้เชื่อได้ว่า ความชอกช้ำที่เกิดขึ้นกับแฟนลูกหนังคงจะยังอยู่ ในใจตลอดมา
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงมีคำถามส่งไปยังสมาคมกีฬาลูกหนังว่าเพื่อความสุขของคนไทยและหน้าตาของประเทศสมาคม มีแผนงานหรือกลยุทธ์ในการเตรียมการอย่างไร?
แต่ประเด็นที่เห็นว่าโอกาสแห่งความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไรต่อกรณีนี้ คงต้องไปดูในมิติที่ผู้บริหารสมาคมรายหนึ่งได้ออกมา
แจ้งว่า การเตรียมทีมชาติในซีเกมส์มีปัญหาเพราะไปทับซ้อนกับโปรแกรมการแข่งขันภายในซึ่งสมาคมไม่สามารถปรับเพื่อทีมชาติได้
จากการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสมาคมภายใต้การนำของนายกสมาคมที่เคยกล่าวถึงอนาคตลูกหนังไทยเมื่อครั้งที่กำลังมีแนวคิดเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกสอนในปี 2559 ดังความ ตอนหนึ่งว่า “ถ้านำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เราพร้อมจะ ก้าวข้ามอาเซียนหรือไม่ ถ้าอยากก้าวข้ามก็จะ ต้องคิดใหม่ทำใหม่”
จากวลีดังกล่าวทำให้เห็นว่าสิ่งที่นายกคาดหวังในวันนั้นกับวันนี้สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการเตรียมทีมชาติที่โปรแกรมไปทับซ้อน กับทั้งไทยลีก และบอลถ้วย 2 รายการ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เกิดจาก “สนิมเนื้อในตน” หรือผลจากการกระทำของสมาคมทั้งสิ้น
จากนี้ไปเชื่อว่าแฟนลูกหนังคงจะโยนการบ้าน ไปยังสมาคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า “ระหว่างชาติกับสโมสร” สมาคมจะหาทางออกอย่างไร
ซึ่งต่อกรณีนี้ครั้นจะไปโทษสโมสรว่าไม่ปล่อย นักเตะตัวหลักก็คงจะไม่ได้ เพราะทุกสโมสรเมื่อมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จกับโปรแกรม ที่รออยู่ย่อมต้องการสร้างผลงานอย่างแน่นอน
การเตรียมทีมชาติหากมองไปที่รอบบ้านพบว่า ทั้งเวียดนามในฐานะแชมป์เก่า รวมทั้งมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ล้วนแล้วแต่มุ่งมั่นและเตรียมการ เพื่อทีมชาติสำหรับสู้ศึกรายการนี้โดยเฉพาะ
การปล่อยภาระให้ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม และ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ พร้อมทีมงานต้องเอาบ่ามาแบกและใช้สมองน้อยๆ มาขบคิดแทนคนไทยทั้งชาติ เพื่อทลายกำแพงและขวากหนามที่ตนไม่ได้ก่อ คงจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่สมาคมกีฬาลูกหนังภายใต้สภากรรมการผู้ทรงเกียรติพึงจะกระทำ
หรือแล้วแต่บุญพาวาสนาส่งที่จะเห็นและเป็นไป หากเป็นเยี่ยงนี้อนาคตของบอลไทยคงมีทางเลือก...
คือถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนม้าศึก หรือผู้บริหารสมาคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผศ.ดร.รัฐพงศ์ บุญญานุวัตร
OOOOOOO
ทีมชาติไทยจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้
สมาคมลูกหนัง นั่นแหละ ต้องเทกแอ็กชัน คอยซัพพอร์ตสนับสนุนคนทำทีมทุกวิถีทาง
สำเร็จหรือล้มเหลวมีเส้นบางๆกั้นอยู่ จริงๆครับ!!!
บี บางปะกง