บี บางปะกง
ไม่มี “ดราม่า” ไม่ใช่บอลไทย (ขนานแท้) และแล้วการขึ้นนำเดี่ยวเป็นจ่าฝูงไทยลีกของพลพรรค “แข้งเทพ” ทรู แบงค็อกฯ ที่บุกไปเฉือนชนะ ขอนแก่น ยูไนเต็ด 1–0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็มีประเด็นให้ต้องพูดถึงจนได้
นี่ถ้าสกอร์เกมนี้จบลงแบบไม่มีประตูเหมือนอย่างในช่วง 90 นาทีก็คงไม่มีอะไรหรอก แต่บังเอิญท่านเปา “ฑีธิชัย นวลจันทร์” คงกลัวอะดรีนาลินของแฟนบอลจะไม่หลั่งล่ะมั้ง
ก็เลยไปเช็ก VAR ให้จุดโทษกับทีมเยือน ก่อนที่ผู้เล่น “จงอางผยอง” จะไม่พอใจอย่างหนัก ถึงขั้นวอล์กเอาต์มาอยู่ข้างสนามนานหลายนาที สุดท้ายก็กลับมาเล่นต่อ และเป็นวานเดอร์ หลุยส์ ที่สังหารลูกโทษเข้าไปให้แบงค็อกขึ้นนำ 1–0 ในนาทีที่ 90+12
ท่ามกลางความเดือดดาลของกองเชียร์เจ้าถิ่น ที่พากันหัวร้อนใส่หัวหอกแซมบ้าของบียูที่ไปแสดงท่าล้อเลียนงูจงอางจนหวิดมีเรื่องมีราวบานปลาย
เท่านั้นยังไม่พอ ดราม่าบังเกิดอีกรอบ เมื่อผู้ตัดสินไปเช็ก VAR ให้จุดโทษกับขอนแก่นบ้าง แต่คราวนี้ อิบสัน เมโล ดันยิงหลุดเสาสองไปหน้าตาเฉยในนาทีที่ 90+26
สุดท้าย 3 คะแนนเต็มจึงตกเป็นของแข้งเทพ อย่างที่เห็นกัน เรียกว่างานนี้สตอรีเกิดขึ้นเพราะท่านเปาแท้ๆ ตอกย้ำให้เห็นถึงมาตรฐานการทำหน้าที่ ซึ่งไม่มีอะไรเลยมาเป็นบรรทัดฐาน ถึงมี VAR มาคอยช่วยเซฟการตัดสิน แต่กลายเป็นว่าคนใช้ VAR นี่แหละมาสร้างปมปัญหาให้ปวดเฮดกันซะเอง
ก็ฝากถึงสมาคมลูกหนังไทย และ บ.ไทยลีก ด้วยว่า จะอัปเกรดลีกไทยให้ก้าวหน้าไปถึงไหนยังไง แต่ถ้ามองข้ามการพัฒนาบุคลากรที่เป็น “คิง ออฟ ฟิลด์” ในสนามล่ะก็ ทุกอย่างก็ป่วยการ เสียเวลาเปล่าครับท่าน
จากเกมดราม่าเจ้าปัญหา ไปดูแมตช์ไทยลีกเมื่อวันเสาร์ที่ใสสะอาด ไร้เสียงติฉินนินทากันบ้าง กับชัยชนะของ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ที่ย้ำแค้นเอาชนะบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ลงอย่างราบคาบ 2 ประตูต่อ 0 ที่ชลบุรี สเตเดียม
ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ กุนซือจอมอินดี้ ที่ประกาศไว้ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้นแล้วว่า เรื่องลุ้นแชมป์เอาไว้ทีหลัง แต่ฤดูกาลนี้ลูกทีมฉลามชลของตัวเอง ขอเป็นตัวแปรในการแย่งบัลลังก์แชมเปียนของทีมอื่นเป็นพอ
โดยผลงานอันยอดเยี่ยมกระเทียมดองจากการคว้าชัยเหนือคู่แข่ง 5 นัดรวด ของขุนพลฉลามหนุ่ม ถือเป็นการการันตีฝีไม้ลาย “กึ๋น” ของกุนซือเจ้าของฉายา “มูรินโญเมืองไทย” ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
และยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่เมื่อได้รับรู้ว่า การทำงานของโค้ชสะสมกับชลบุรี ณ ปัจจุบัน เป็นการทำงานด้วย “ใจ” แบบ “สัญญาปากเปล่า” ที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นก่อนว่า นิสัยใจคอ และแนวทางการทำฟุตบอลของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร
ส่วนเรื่องเงินทอง ค่าตอบแทนต่างๆเป็นเรื่องรอง ค่อยมาคุยกันทีหลัง ถ้าพึงพอใจกันจริงๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ ถ้าเป้าหมายของตัวเองกับสโมสรตรงกัน คือต้องการพัฒนาดาวรุ่ง สายเลือดใหม่ขึ้นมาประดับวงการต่อไปในวันข้างหน้า ก็พร้อมลุยโลดกันเต็มที่แบบไม่มีกั๊กไปเลย
นี่แหละครับ “คนรักฟุตบอล” มาเจอกัน ความมันจึงบังเกิด เมื่อ “ฉลามชล” ฟีเจอริง “ฉลามเตี้ย” ด้วยสัญญาใจ ปฏิบัติการ “ใจแลกใจ” ที่แสนงดงาม จึงผลิดอกออกผลให้พวกเราได้เห็น...เป็นขวัญตา!!!
บี บางปะกง