หน้าแรกแกลเลอรี่

เดินเกมช้างศึก

บี บางปะกง

4 ต.ค. 2564 05:05 น.

พลันที่สมาคมกีฬาลูกหนังได้ประกาศแต่งตั้งกุนซือช้างศึกชุดใหญ่ ซึ่งมีชื่อของโค้ชสายเลือด เยอรมัน-บราซิล มาโน โพลกิง พร้อมผู้ช่วย “เซอร์เด็จ” จเด็จ มีลาภ และ “โค้ชหนึ่ง” หนึ่งฤทัย สระทองเวียน เข้ามาทำหน้าที่นั้น

พบว่ามีเสียงสะท้อนออกมาจากแฟนลูกหนังและผู้สันทัดในวงการที่หลากหลายทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยผสมผสานกันไป

จากปรากฏการณ์ดังกล่าวหากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่มีการแต่งตั้งหัวหน้าและผู้ช่วยผู้ฝึกสอนเข้าทำหน้าที่สำหรับชุด 23 ปี กลับพบว่ามุมมองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าทีมช้างศึกชุดใหญ่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของวงการ

ลูกหนังไทยที่เปรียบเสมือนทีมที่ทุกคนเป็นเจ้าของและพร้อมจะสร้างผลงานเพื่อหน้าตาหรือชื่อเสียงของประเทศตลอดจนนำความสุขมาสู่แฟนลูกหนัง

อย่างไรก็ตาม วันนี้เมื่อสมาคมภายใต้ความเห็นชอบของผู้จัดการทีมหรือนางฟ้าลูกหนัง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ที่ดีดลูกคิดรางแก้วและเคาะออกมาแล้วเชื่อว่าภายใต้

สถานการณ์ที่เป็นอยู่การได้มาซึ่งหัวหน้าและทีมงานกุนซือในครั้งนี้จะเป็นการตอบโจทย์การทำทีมชาติชุดใหญ่ในหลากหลายมิติ

โจทย์ที่ว่านี้ถ้าสังเคราะห์หรือแยกแยะออกมาประเด็นแรกหวยน่าจะออกที่การสร้างศรัทธาให้กับแฟนลูกหนังเป็นลำดับแรก ตามด้วยเรื่องของหน้าตาหรือผลงานของสมาคมรวมทั้งลีลาในการบริหารจัดการของผู้จัดการคนสวยที่มีผลงานได้รับการยอมรับในการทำทีมชบาแก้วจนได้ไปโลดแล่นและประกาศศักดาในสังเวียนบอลหญิงชิงแชมป์โลกมาแล้วถึงสองสมัย

แต่สำหรับการรับหน้าเสื่อผลักดันทีมช้างศึกชุดใหญ่ให้ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะในการไล่ล่าหาแชมป์ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ด้วยแล้ว ถือได้ว่าเป็นการบ้านและโจทย์หินที่มาดามแป้งและทีมงานกุนซือต้องขับเคลื่อนและเดินหน้าเพื่อพลิกโฉมบอลไทยกันต่อไป

ที่น่าสนใจหากพิจารณาถึงโอกาสและความหวังของทีมช้างศึกกับการคว้าแชมป์หรือเป็นเจ้าในอาเซียนนั้นจะเห็นได้ว่า โค้ชมาโน ได้เดินเกมล่วงหน้าด้วยการใช้หลักจิตวิทยาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับแฟนลูกหนังชาวไทยไปบ้างแล้ว

โดยเฉพาะการออกมาโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลซึ่งวลีที่เปล่งออกมาต้องยอมรับว่าหวานปานน้ำผึ้งที่พอจะดื่มกินได้ ซึ่งความตอนหนึ่งมีอยู่ว่า

“ผมไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของผม ผมมีความสุข มีความภูมิใจ ตื่นเต้นและมั่นใจประเทศไทยเหมือนบ้านของผม ผมรักผู้คนและวัฒนธรรมแบบเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาที่ผมมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่มีให้กับผม และด้วยผู้เล่น ทีมงานโค้ชและบอร์ดบริหารรวมถึงแฟนบอลอันแสนพิเศษ ผมรู้ว่าผมจะทำมันได้แน่นอน ผมจะทำงานอย่างหนักและโฟกัสอย่างเต็มที่เพื่อคว้าแชมป์ซูซูกิคัพกลับประเทศไทยให้ได้ (ไทยรัฐ 30 กันยายน 2564)

การประกาศเพื่อการคว้าแชมป์อย่างห้าวหาญของยอดโค้ชชาวเยอรมัน-บราซิล ในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมิติที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยจะมีผู้เข้ามากุมบังเหียนทีมชาติไทยได้แสดงออกให้เห็นมากนัก และจากความเชื่อมั่นดังกล่าวถ้าเขาทำการบ้านด้วยการทวงคืนแชมป์อาเซียนกลับมาได้โอกาสที่เขาจะได้ต่อสัญญาก็มีโอกาสสูง

แต่ถ้าล้มเหลวจะด้วยเหตุใดก็ตามก็คงจะเป็นไปตามวงจรของวงการลูกหนังที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนต้องแสดงสปิริตด้วยการรับผิดชอบต่อผลงานของตนเอง

ซึ่งประเด็นนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของตำนานกองหน้าทีมชาติไทยในอดีต “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่แสดงทรรศนะผ่านรายการแตงโมลง

ปิยะพงษ์ยิง เมื่อเร็วๆนี้ ความตอนหนึ่งว่า “ผลงานไม่ดี โค้ชเขาไปเองเขาไม่มาอยู่ให้คนด่าหรอกผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์...”

จากนี้ไปคงจะเป็นบทพิสูจน์ว่าผลงานของโค้ชและทีมงานจะสร้างศรัทธาให้กับแฟนลูกหนังได้มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญหนึ่งในปัจจัยของความสำเร็จอยู่ที่ผู้จัดการทีมจะประสานสิบทิศเพื่อให้ได้มาซึ่งนักเตะคุณภาพคับแก้วมากน้อยแค่ไหน

แต่เหนือสิ่งอื่นใดสภาวการณ์หรือตัวแปรที่จะอดห่วงล่วงหน้าไม่ได้ คือขาใหญ่บางสโมสรในไทยลีกจะไม่ปล่อยนักเตะให้มารับใช้ชาติต่างหาก.

ผศ.ดร.รัฐพงศ์ บุญญานุวัตร

OOOOOO

กระแสศรัทธาฟุตบอลทีมชาติไทยนับจากนี้ ฝากไว้ในมือ “มาดามแป้ง” แล้วจริงๆ

ผลการฟาดแข้งทั้งศึกยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย และฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ จะเป็นคำตอบสุดท้าย...ว่าทิศทางลูกหนังไทยในอนาคต

กำลังจะเดินไปข้างหน้า หรือถอยหลังลงคลองกันแน่!!!

บี บางปะกง