ไทยรัฐออนไลน์
ทำความรู้จัก ชิตชนก ไชยเสนสุรินธร กองหน้าคนใหม่ของ "เดอะ แรบบิท" บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่ถุกดึงเข้ามาเพื่อลุยศึกในฤดูกาล 2021-22
กลายเป็นนักเตะคนแรกที่เปิดตัวกับทัพ "เดอะ แรบบิท" บีจี ปทุม ยูไนเต็ด สำหรับ ชิตชนก ไชยแสนสุรินธร แนวรุกลูกครึ่งไทย-ลาว วัย 26 ปี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2021 รอบแบ่งกลุ่ม ที่จะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ รวมถึงการแข่งขันไทยลีก ฤดูกาล 2021-22 แน่นอนว่าการมาของ ชิตชนก จะเข้ามาช่วยสร้างสีสันและมิติในเกมรุกของ บีจีพียู ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
ชีวิตในวัยเด็กของ ชิตชนก ไชยเสนสุรินธร เกิดและเติบโตที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังคุณพ่อของเขาซึ่งเป็นชาวลาว และคุณแม่คนไทยได้พบรักกันที่ดินแดนในฝันของใครหลายๆคน ก่อนที่ทั้งคู่จะเปิดร้านอาหารที่นั่น ก่อนให้กำเนิดเจ้าตัวและกลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพในปัจจุบัน
"คุณพ่อกับคุณแม่ของผมได้พบกันที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นท่านทั้งสองได้เปิดร้านอาหารที่นั่น ก่อนที่ผมจะเกิดและเติบโตขึ้นมา จากนั้นผมเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 4 ขวบ โดยมีคุณพ่อเป็นคนสนับสนุน เพราะท่านชอบฟุตบอลมาก จนผมอายุได้ 14 ปี ก็ได้เข้าไปเป็นนักเตะในอะคาเดมี่ของสโมสร โลซาน สปอร์ต ทีมในลีกของสวิตเซอร์แลนด์ จนตอนผมอายุ 16 ปี ก็ได้มีโอกาสเล่นลีกอาชีพครั้งแรกกับทีมในลีกสองของสวิสฯอย่าง อิแวร์ดอ (yverdon-sport fc) ซึ่งในขณะนั้นผมเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เล่นในลีกระดับอาชีพของสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย"
ชีวิตในเส้นทางลูกหนังของ ชิตชนก เริ่มจะมีอนาคตที่สดใสและเข้าใกล้กับคำว่านักเตะซูเปอร์สตาร์ระดับโลก เพราะหลังจากที่เขาฉายแววเด่นในลีกของ สวิตเซอร์แลนด์ บวกกับอายุยังน้อยทำให้เป็นที่สนใจของแมวมองทีมชั้นนำในยุโรป โดยเฉพาะทีมในลีกของประเทศอิตาลี หลังมีถึง 3 สโมสรที่ให้ความสนใจในตัวเขา และได้ยื่นข้อเสนอให้เข้าไปเป็นนักเตะเยาวชนของทีมนั้นๆไม่ว่าจะเป็น ซามพ์โดเรีย, กายารี่ และทีมยักษ์ใหญ่อย่าง "ยูเวนตุส"
"หลังจากที่ผมเล่นกับทีม อิแวร์ดอ (yverdon-sport fc) ได้หนึ่งปีเอเย่นต์ของผมก็แจ้งว่ามีสโมสรจากอิตาลีแสดงความสนใจในตัวผมโดยมี 3 ทีมคือ ซามพ์โดเรีย, กายารี่ และยูเวนตุส ครั้งแรกเลยที่รู้ข่าวแน่นอนว่าเป้าหมายของผมคือ ยูเวนตุส เพราะเป็นทีมยักษ์ใหญ่ของอิตาลีและเป็นทีมระดับโลก แต่หลังจากที่ได้คุยกับคุณพ่อของผมและเอเย่นต์ ก็ตัดสินใจเลือก ซามพ์โดเรีย เพราะเป็นทีมขวัญใจของคุณพ่อ อีกทั้งตอนนั้น ซามพ์โดเรีย ยังเล่นอยู่ในเซเรีย บี หรือลีกรองของอิตาลี ทำให้ผมมองว่าโอกาสที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่มีมากกว่า จึงตัดสินใจเลือกทีมนี้ครับ"
หลังย้ายมาอิตาลีทุกอย่างดูจะไปได้ดี เพราะ ชิตชนก ถูกเรียกเข้าไปเก็บตัวกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ รุ่นอายุ 18 ปี รวมถึงได้มีโอกาสลงเล่นในลีกสำรองของอิตาลีกับ ซามพ์โดเรีย ร่วมกับนักเตะที่ต่อมากลายเป็นนักเตะชื่อดังอย่าง เมาโร อิคาร์ดี้, เซร์คิโอ โรเมโร, แบร์ราดี้ และเปโดร โอเบียง
"พอผมย้ายมาเล่นที่อิตาลี ผมก็ถูกเรียกไปเก็บตัวฝึกซ้อมกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ รุ่นอายุ 18 ปี ขณะเดียวกันกับสโมสรซามพ์โดเรีย ผมก็ถูกส่งชื่อเล่นในลีกสำรอง ซึ่งตอนนั้นมีนักเตะอย่าง เมาโร อิคาร์ดี้, เซร์คิโอ โรเมโร, แบร์ราดี้ และเปโดร โอเบียง ที่ต่อมาทุกคนจะกลายเป็นนักเตะชื่อดัง นอกจากนี้ผมยังมีโอกาสขึ้นไปฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่อยู่หลายครั้ง"
แม้จะเริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลในอิตาลีได้ดี แต่สิ่งที่นักฟุตบอลทุกคนกลัวที่สุดก็เกิดขึ้นกับ ชิตชนก นั่นก็คืออาการบาดเจ็บ แม้ว่ามันจะไม่รุนแรงถึงขั้นผ่าตัด แต่นั่นก็ทำให้ ซามพ์โดเรีย ไม่ใช้ออปชั่นต่อสัญญากับเขา ก่อนจะย้ายกลับมาหาความท้าทายยังแผ่นดินเกิดของคุณแม่
"หลังจากที่ผมเล่นกับ ซามพ์โดเรีย และกำลังจะครบสัญญา 1 ปี ผมมีอาการบาดเจ็บ แม้ว่ามันจะไม่รุนแรงถึงขนาดผ่าตัด แต่ต้องยอมรับว่าช่วงนั้นที่นั่นมีนักเตะระดับเยาวชนที่พร้อมจะขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่หลายคน ทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับผม ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ลีกของประเทศไทยกำลังพัฒนา นักเตะลูกครึ่งหลายคนที่เล่นอยู่ในต่างแดนถูกดึงกลับไปเล่นที่ประเทศไทย เช่นเดียวกับผมที่ถูก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดต่อไปทำให้ผมอยากลองเข้ามาหาความท้าทายที่ประเทศไทย"
แต่ชีวิตการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในเมืองไทยของ ชิตชนก ไม่ง่ายเหมือนที่เขาคิด เพราะเขาต้องต่อสู้กับอาการบาดเจ็บที่ติดตัวมา บวกกับเจ้าตัวยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนักในช่วงแรก ทำให้ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามเท่าที่ควร ก่อนจะชีพจรลงเท้าด้วยการย้ายไปหลายสโมสรไม่ว่าจะเป็น เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, บีอีซี เทโรศาสน, พีทีที ระยอง, สุพรรณบุรี เอฟซี และปีที่แล้วกับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี
"ช่วงแรกเลยเป็นอะไรที่หนักพอสมควรครับ เพราะผมมีอาการบาดเจ็บรบกวนเล็กน้อย ทำให้ผมไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนาม อีกสิ่งที่เป็นปัญหาของผมคือการปรับตัวกับฟุตบอลไทย หลายคนยังไม่ค่อยยอมรับในตัวผม ซึ่งผมเองก็พยายามพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนยอมรับ ในยุโรปไม่ว่าจะเป็นที่สวิสฯหรืออิตาลี ทุกคนจะเต็มที่เวลาฝึกซ้อมแต่หลังฝึกซ้อมทุกคนคือเพื่อนกันพี่น้องกัน แต่ที่เมืองไทยช่วงแรกเวลาผมเต็มที่ในการฝึกซ้อมกลับถูกมองว่าก้าวร้าวไม่เคารพรุ่นพี่ หรือบางคนอาจมองผมว่ามั่นใจตัวเองจนเกินไป จนทำให้ผมโดนขู่โดนดูถูกสารพัดจากนักเตะบางคน ซึ่งที่ผ่านมาผมก็พยายามพิสูจน์ตัวเองมาตลอด"
จนในฤดูกาล 2020/21 ชื่อของ ชิตชนก ไชยเสนสุรินธร กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งภายใต้ต้นสังกัด นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี เมื่อเขาได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องกับทัพ "สวาทแคท" ก่อนทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในไทย
"ผมมั่นใจเสมอ และผมเชื่อว่าจะทำได้ดีหากได้รับโอกาสลงสนาม ครั้งหนึ่งเคยมีคนบอกผมว่า ผมเล่นไม่ได้หรอกในเมืองไทย มันทำให้ผมรู้สึกว่า ทำไมคิดกับผมแบบนั้นทั้งที่ยังไม่รู้จักผมดีพอ จริงๆผมก็เสียดายนะที่ไม่ได้มาเล่นในเมืองไทยในช่วงที่ผมสมบูรณ์ที่สุด แต่ตอนนี้ผมชอบฟุตบอลไทยไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในสนาม ผู้คนในประเทศไทย มีความเป็นกันเอง แม้ว่าช่วงแรกผมจะมีปัญหาในการปรับตัว แต่พอทุกอย่างผ่านไปผมก็เข้าใจทุกอย่างได้ดีขึ้น ปรับตัวกับวัฒนธรรมไทยได้ดีขึ้น"
แม้จะมีหลายสโมสรติดต่อไป แต่เหตุผลที่ทำให้ ชิตชนก เลือก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด คือความเป็นมืออาชีพและความชัดเจนของสโมสรฯ และเพียงแค่การฝึกซ้อมครั้งแรกเขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม และคิดไม่ผิดที่เลือกสโมสรแห่งนี้
"บีจี ปทุม เป็นทีมที่มืออาชีพมากๆตั้งแต่ที่สโมสรติดต่อไปหาผม และแสดงความชัดเจนที่ต้องการตัวผมจริงๆ นั่นทำให้ผมเลือกที่นี่ ผมมองว่าผมได้รับเกียรติมากที่ได้รับความสนใจจาก บีจี มันทำให้ผมรู้สึกดีที่พอเราทำผลงานได้ดี และมีคนสนใจในตัวเรา ให้การยอมรับเรา และพอได้มีโอกาสฝึกซ้อมกับทีมผมมีความสุขมาก ทุกคนในทีมเป็นกันเอง ผมเล่นในเมืองไทยมาหลายทีม แต่ บีจี เป็นทีมแรกที่ผมปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผมมีความสุขในการฝึกซ้อม ซึ่งผมไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอบรรยากาศแบบนี้"
แน่นอนว่าการมาครั้งนี้ ชิตชนก จะต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง เนื่องจาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เต็มไปด้วยนักเตะชื่อดัง ทั้งไทยและต่างชาติ แต่ถึงอย่างไร ชิตชนก ก็มองว่ามันคือความท้าทาย และการได้ฝึกซ้อมกับนักเตะที่มีศักยภาพสูง ก็จะช่วยพัฒนาตัวเองไปด้วย
"ทีมบีจี ปทุมฯ มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ผมเองก็ต้องทำให้เต็มที่ที่สุดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อโอกาสในการลงสนาม จริงๆมันเป็นเรื่องที่สุดยอดมากที่ทีมมีนักเตะเก่งๆ ผมมองว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาของผม ตรงกันข้ามผมจะได้เรียนรู้จากนักเตะเหล่านั้น จากการฝึกซ้อมและนำมาพัฒนาตัวเอง แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมมาที่นี่เพื่อเป็นตัวสำรอง ผมจะทุ่มเท ทำงานให้หนักขึ้น เพื่อโอกาสในการลงสนามในแต่ละเกม และคว้าโอกาสให้ได้เมื่อมันมาถึง"
โดยในฤดูกาล 2021/22 บีจี ปทุม ยูไนเต็ด มี 2 ศึกใหญ่อย่าง เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก 2021 รอบแบ่งกลุ่ม และการแข่งขันไทยลีก ฤดูกาล 2021/22 ซึ่ง ชิตชนก ก็มองว่าทัพ "เดอะ แรบบิท" จะทำผลงานได้ดีทั้งสองรายการ โดยเฉพาะกับฟุตบอลถ้วยของเอเชีย ที่เจ้าตัวเฝ้ารอที่จะได้ลงสนามรายการนี้ให้ได้เป็นครั้งแรก ส่วนการป้องกันแชมป์ไทยลีก แม้จะเป็นเรื่องยากแต่เขาก็มั่นใจศักยภาพของทีมว่าจะสามารถทำได้
"ฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก เป็นทัวร์นาเมนท์ที่ผมรอคอย นับตั้งแต่ที่ผมมาเล่นที่เมืองไทย และได้เห็นบรรยากาศของการแข่งขันรายการนี้ ที่มีนักเตะเก่งๆทั่วทั้งเอเชีย และนักเตะระดับโลก มันทำให้ผมรู้สึกสุดยอดมาก ดังนั้นผมจึงหวังว่าอยากจะมีส่วนร่วมสักครั้งในชีวิต โดยเฉพาะครั้งนี้ซึ่งผมมั่นใจศักยภาพของทีม เราได้เล่นในบ้าน นั่นทำให้ผมเชื่อมั่นว่าเรามีโอกาสที่ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์
ส่วนการป้องกันแชมป์ไทยลีก ผมมองว่านักเตะส่วนใหญ่จากชุดแชมป์ไทยลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว บวกกับนักเตะใหม่ที่เข้ามา ทำให้ผมมั่นใจว่าเราจะทำผลงานออกมาดี แน่นอนว่าเรามีโอกาสทำได้ แม้ว่าการป้องกันแชมป์จะยากกว่าการเป็นแชมป์ก็ตาม"
อีกหนึ่งความฝันของ ชิตชนก ตั้งแต่มาเล่นฟุตบอลที่ประเทศไทย คือการมีชื่อติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ แต่การมีชื่อติดทีมชาติไทยชุดยู-23 ในเกมอุ่นเครื่องกับ ไต้หวัน คือครั้งเดียวที่เจ้าตัวได้ลงสนามในสีเสื้อของทีมชาติ แต่ถึงอย่างไร ชิตชนก ก็ไม่เคยล้มเลิกความฝันและหวังว่าโอกาสจะมาถึงเขาอีกครั้งหากทำผลงานกับสโมสรได้ดี
"การติดทีมชาติไทยคือความฝันของผมเสมอ แต่มันอาจไม่ได้ง่ายเหมือนคำพูด ตอนนี้ผมต้องพยายามหาโอกาสลงสนามกับสโมสรฯให้มากที่สุด เพราะผมเชื่อว่าหากได้รับโอกาสลงสนามแล้วทำออกมาดี โอกาสของทีมชาติไทยก็จะตามมาผมเชื่ออย่างนั้นเสมอ และแน่นอนผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นกับผมในฐานะนักเตะของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด"
นับเป็นอีกหนึ่งนักเตะใหม่ของทัพ "เดอะ แรบบิท" ที่น่าจับตามอง ซึ่งชื่อของ ชิตชนก ไชยแสนสุรินธร กำลังเป็นที่สนใจของแฟนบอล และอยากที่จะเห็นเจ้าตัวลงโชว์ฝีเท้าในถิ่นลีโอ สเตเดี้ยม แน่นอนว่าเขาเองก็เฝ้ารอที่จะได้ลงสนามต่อหน้าแฟนบอลเช่นกัน และแม้จะยังตอบไม่ได้ว่านักเตะลูกครึ่งไทย-ลาว คนนี้จะทำผลงานได้ดีแค่ไหนกับความท้าทายครั้งใหม่ แต่จากความมุ่งมั่น และความกระหายในการลงเล่นของเจ้าตัวที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ทั้งหมดจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้อย่างแน่นอน