หน้าแรกแกลเลอรี่

จากตกชั้นสู่แชมป์ลีก : เส้นทาง "บีจี ปทุม ยูไนเต็ด" ก่อนคว้าแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์

ไทยรัฐออนไลน์

30 มี.ค. 2564 06:00 น.

แม้เกมลีกนัดสุดท้ายประจำฤดูกาล 2020-21 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ของทาง "เดอ แรบบิท" บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีม "โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน จะบุกไปพลาดท่าปราชัยให้กับ "กิเลนผยอง" เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถึงถิ่น เอสซีจี สเตเดียม ด้วยสกอร์ 0-1 อย่างเจ็บแสบ นั่นทำให้ ยอดทีมแห่งถิ่น ลีโอ สเตเดียม ชวดที่จะจารึกชื่อเป็นเป็นสโมสรลำดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของประเทศไทย ที่จะจบฤดูกาลด้วยสถิติไร้พ่ายทั้งซีซั่นต่อจาก "กิเลนผยอง" เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยทีมแรกเคยทำไว้ในฤดูกาล 2012 ขณะที่ทีมหลังทำได้ถึงสองครั้งเมื่อปี 2013 และ 2015 ตามลำดับ 

แต่กระนั้นมันก็เป็นเพียงจุดด่างพร้อยเล็กๆ บนความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของทีม กับการคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร นับตั้งแต่เทกโอเวอร์สโมสรมาจากธนาคารกรุงไทย ในปี 2009 เปลี่ยนชื่อเป็น บางกอกกล๊าส เอฟซี เรื่อยมาจนถึงชื่อปัจจุบันที่น่าจะดูลงตัวที่สุดแล้วอย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ซึ่งพวกเขาเป็นสโมสรแรกที่ตกชั้นไปสู่ลีกรอง และกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ทันทีในปีต่อมา นอกจากนี้ยังเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกเร็วสุด หลังเพิ่งก่อตั้งสโมสรเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น นั่นถือเป็นการเติมเต็มตู้โชว์ในการคว้าแชมป์รายการสำคัญๆ ต่อจาก แชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ควีนส์คัพ ปี 2010, แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 2014 และ แชมป์ไทยลีก 2 ฤดูกาล 2019

ตัดภาพย้อนกลับไปตอนชนิดที่สุดช็อก ตกชั้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี 2018 เกมสุดท้ายที่พวกเขาพลาดท่าปราชัยให้กับ "สวาทแคท" นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี 1-2 คาบ้านของตัวเอง แม้จะมีคะแนนเท่ากับ "นกใหญ่พิฆาต" ชัยนาท ฮอร์นบิล แต่เป็นเรื่อง เฮด ทู เฮด เรียกได้ว่าวันนั้นอารมณ์ความรู้สึกราวกับห่าฝนขนาดใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาใส่บรรดานักเตะของทีม, ทีมงานสตาฟฟ์โค้ช ตลอดจนบอร์ดบริหารเรื่อยมาถึงประธานสโมสรอย่าง คุณปวิณ ภิรมย์ภักดี ที่เปรียบหัวเรือใหญ่ในการทำหนดทิศทางของสโมสรแห่งนี้

หลังจากตกชั้น "โค้ชจุ่น" อนุรักษ์ ศรีเกิด หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมในตอนนั้น กล่าวว่า "เราตกชั้นครับ เราทำให้ทีมสโมสรที่ลงทุนมหาศาลต้องหมดสภาพและผิดหวัง ผิดหวังตั้งแต่ทำให้ทีมต้องลงไปเล่นไทยลีก 2 ผมพูดอะไรไม่ออก มันเป็นรายละเอียดในการทำงานของช่วงที่ทีมต้องการประตู แต่ทำอะไรไม่ได้ จะบอกว่าจะโทษดวงหรือจะโทษใคร มันอยู่ที่ทีมเรา ตัวเรา ตัวผมเอง ที่ไม่สามารถคว้าโอกาสและทำอะไรก็ติดไปหมด ผมเป็นคนที่ต้องทำผลงานของทีมให้ดีกว่านี้ และผมเป็นคนที่ปล่อยละเลยไปเรื่อยๆ จนมาถึงนัดสุดท้าย มันเป็นจุดอ่อนที่ผมแก้ไขไม่ได้ จนสุดท้ายเป็นเพราะผมคนเดียว"

ข่าวลือต่างๆ นานา ที่ถูกลือสะพัดทั้งการยุบทีม หรือขายขายสิทธิ์ต่อให้คนอื่นเข้ามาบริหารการจัดการ รวมถึงความกังวลที่แฟนบอลบางคนยอมรับว่าทีมอาจแพแตกได้เหมือนกัน เพราะโดยส่วนมากแล้วจะไม่ค่อยมีนักเตะระดับสตาร์ดังยอมย้ายลงไปเล่นในลีกล่างสักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทีมปล่อย ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ กองกลางที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของทีมไปให้กับ ทรินิตะ โออิตะ ทีมชื่อดังในเจลีก ลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น ยืมตัวไปใช้งานอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้กระแสข่าวลือถูกใส่สีตีไข่เข้าไปกันใหญ่ แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้ว ทีมสามารถรั้งตัวนักเตะแกนนำไว้ได้ พร้อมกันนี้ยังได้ตัว "โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน เข้ามารับไม้ต่อจาก "โค้ชจุ่น" อนุรักษ์ ศรีเกิด

พร้อมกันนี้ "โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน ก็เริ่มเสริมทัพทันทีด้วยการคว้าตัว "ซุปเปอร์บอย" ฉัตรชัย บุตรพรม มาจาก "กว่างโซ้งมหาภัย" สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวที่ว่ากันว่าถึง 10 ล้านบาท นอกจากนี้ทีมยังได้ตัว บารอส ทาเดลี, ดาวิด บาลา และ เชาว์วัตน์ วีระชาติ รีเทิร์นคืนสู่ทีมอีกครั้งหลังปล่อยตัวให้กับ เซเรโซ โอซากา ทีมดังในศึกเจลีก ลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น ยืมตัวไปใช้งาน และด้วยชื่อชั้นขุมกำลังของทีมดีกว่าทีมในศึกไทยลีก 2 ทุกทีม ทำให้พวกเขากลับคืนสู่ลีกสูงสุดได้เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น ด้วยการมี 78 คะแนนจาก 34 นัด โดยที่อันดับ 2 และ 3 ที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมานั้นคือ "มังกรโล่เงิน" โปลิศ เทโร เอฟซี และ "ม้านิลมังกร" ระยอง เอฟซี

ก่อนเปิดซีซั่นทีมได้ตัว ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ กลับคืนสู่ทีม ซึ่งในตอนแรกถึงช่วงกลางฤดูกาล "สิงห์เจ้าท่า" การท่าเรือ เอฟซี ที่ดูเหมือนจะมีลุ้นเบียดแย่งแชมป์เมื่อมีคะแนนตามหลังไม่ห่างมากนัก แต่กระนั้นท้ายที่สุดแล้ว ทีมดังจากย่านคลองเตย ก็ค่อยๆ หลุดวงโคจร โดยที่มีช่วงชนะรวด 8 นัดติดต่อกันในลีก แต่ทว่า "เดอะ แรบบิท" บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็แรงดีไม่มีตก เมื่อทำสถิติชนะรวด 11 นัดติดต่อกันในลีก จนจะเดินเข้าเส้นชัยการันตีคว้าแชมป์ ในขณะที่โปรแกรมเหลืออีก 6 นัด ในเกมที่เอาชนะ "ค้างคาวไฟ" สุโขทัย เอฟซี 2-0

จากการที่พวกเขาการันตีคว้าแชมป์ นั่นทำให้ทำลายสถิติเดิมของ "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เคยทำไว้ในตอนที่เหลือโปรแกรมอีก 4 นัด เมื่อปี 2011 ส่วน "โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน ทำสถิติคุมทีมครบฤดูกาลคนแรก และลากยาวมาถึง 2 ฤดูกาล พร้อมกับพาทีมสร้างประวัติศาสตร์คว้าตั๋วรอบแบ่งกลุ่มครั้งแรก โดยที่ในช่วงพักเลก ทีมได้คว้าตัว ดิโอโก หลุยส์ ซานโต, ธีรศิลป์ แดงดา รวมถึง ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ เข้ามาเสริมให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นไปอีก

ความสำเร็จดังกล่าวไม่ใช่ได้รับการชื่นชมแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง จานนี อินฟานติโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ที่ได้ส่งจดหมายถึง "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับ "เดอะ แรบบิท" บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่สามารถคว้าแชมป์โตโยต้า ไทยลีก ประจำฤดูกาล 2020-21 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยใจความที่ว่า "ขอให้ผมได้แสดงความยินดีกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด สำหรับการเป็นแชมเปียนส์ของประเทศไทยในฤดูกาล 2020/21"

"ตำแหน่งชนะเลิศครั้งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นผลจากการทำงานหนัก, ความกระตือรือร้น และความรับผิดชอบ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถภาคภูมิใจกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ผมจะรู้สึกขอบคุณอย่างมาก หากคุณได้ส่งต่อการแสดงความยินดีของผมไปยังทุกคนที่เกี่ยวข้อง ผมขอสนับสนุนให้พวกเขาทำงานด้วยความมุ่งมั่น และมีแรงจูงใจต่อไปในอนาคต ในฐานะตัวแทนของชุมชนฟุตบอลระหว่างประเทศ ผมขอใช้โอกาสนี้ในการขอบคุณคุณ และสมาคมฯ ที่มีส่วนทำให้เกิดการพัฒนาและความก้าวหน้าของกีฬาฟุตบอลในประเทศไทย, ภูมิภาค และทั่วโลก ผมตั้งตารอที่จะได้พบคุณอีกครั้งในเร็ววันนี้"

คุณปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรของทีม ออกมากล่าวหลังจากการคว้าแชมป์ลีกครั้งประวัติศาสตร์ว่า "ปีนี้เป็นปีที่มหัศจรรย์มาก ผมเองรู้สึกดีใจ และตื้นตันกับสิ่งที่เราได้มา แม้ว่าจะเป็นฤดูกาลที่ยาวนานปีกว่าด้วยซ้ำ ถ้ายังจำกันได้ผมเคยสัญญากับแฟนบอลของทีมทุกคนหลังจากที่เราตกชั้นไปในปี 2018 ว่าเราจะกลับมาอยู่ในลีกสูงสุดให้เร็วที่สุดนั่นคือ 1 ปี แล้วถ้ามีโอกาสเราจะลุ้นแชมป์ไปด้วยกันในปี 2020"

"ผมและสโมสรได้มอบรอยยิ้มให้แฟนบอลทุกคนที่ได้เป็นแชมป์ประวัติศาสตร์ครั้งแรก ถ้านับธนาคารกรุงไทย ก็จะเป็นแชมป์ที่ 3 ขององค์กร ผมขอขอบคุณทีมงานที่อยู่เบื้องหลังของสโมสร ขอบคุณฝ่ายเทคนิค ขอบคุณสตาฟฟ์โค้ช ขอบคุณผู้เล่น และขอขอบคุณแฟนบอลที่ให้กำลังใจเรามาตลอด ตั้งแต่ฤดูกาลที่เราตกชั้นไปและกลับขึ้นมาใหม่ได้ และในครั้งนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรที่เราได้แชมป์ไทยลีก 2 และไทยลีก 1 สองปีติด"

"โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน กล่าวว่า "ผมดีใจมากๆ ที่เราคว้าแชมป์ได้ในปีนี้ ซึ่งมันเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ด้วยซ้ำ เพราะตอนที่เราเลื่อนชั้นกลับขึ้นมา สิ่งที่ผมคุยกับผู้บริหาร เรายังไม่ได้มีเป้าหมายว่าต้องเป็นแชมป์เลยนะ จริงๆ ผลงานเราดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เสริมทัพเข้ามา ก่อนที่ผู้บริหารจะตอบสนองและแสดงความจริงจังด้วยการเดินหน้าเรื่องตัวผู้เล่นระดับคุณภาพเข้ามา ซึ่งตรงนี้ก็ต้องขอบคุณวิสัยทัศน์ของผู้บริหารด้วย และนักเตะที่ย้ายเข้ามาก็ปรับตัวได้เร็วมาก รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างรวดเร็ว มันเลยทำให้ทุกอย่างดูลงตัวไปหมด"

"ผมยังจำได้นะว่ามีเสียงสบประมาททีมเราเยอะ ว่ามีแต่กองหลังที่ยิงประตู และในหลายๆ ลูกเป็นจุดโทษ แต่มันก็มาจากเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ หรือตอนที่ได้ประตูจากจังหวะเตะมุม มันก็เป็นอีกหนึ่งความหลากหลายในเกมรุกของเรา ดังนั้นอย่าไปมองแต่ว่ากองหลังเราเหนียว หรือได้ประตูส่วนใหญ่จากกองกลาง เพราะผู้เล่นแดนหน้า และทุกตำแหน่ง ก็มีส่วนร่วมเยอะ"

พร้อมกันนี้ ออเรลิโอ วิดมาร์ ที่เคยกุมบังเหียนเมื่อระหว่างปี 2016-17 ได้ส่งคลิปมายินดีกับทีมด้วยใจความที่ว่า "สวัสดีครับ สวัสดีคุณปวิณและแฟนบอลของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ผมอยากใช้โอกาสนี้ในการแสดงความยินดี ต่อฤดูกาลอันยอดเยี่ยมและการคว้าแชมป์ไทยลีก ทุกคนทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่สตาฟฟ์โค้ชและผู้เล่น มันคือฤดูกาลที่มหัศจรรย์ของพวกคุณ"

"นอกจากนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้ในการขอบคุณสโมสรที่ให้ผมเป็นส่วนเล็กๆ ของการเดินทางของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ผมมีเวลาอันยอดเยี่ยมกับสโมสร รวมถึงผมเองยังมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้บริหาร ผู้เล่น และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช และขอบคุณอีกครั้งที่ให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรแห่งนี้ และผมอยากถือโอกาสนี้ในการอวยพรให้สโมสรประสบความสำเร็จ ในการเล่น เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ที่กำลังจะมาถึงนี้ ผมมั่นใจว่าพวกคุณจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ผมขอให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับสโมสรในตอนนี้และอนาคต ขอบคุณครับ"

ต้องบอกว่านี่คือฤดูกาลที่มีเส้นทางที่ยาวไกลและยาวนานเหลือเกินกว่าปกติ เพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เกมถูกหยุดแข่ง ตลอดจนการห้ามแฟนบอลเข้าสนาม หรือจำกัดจำนวนผู้ชมในสนาม แต่นี่ต้องบอกว่าเป็นฤดูกาลประวัติศาสตร์ของ "เดอะ แรบบิท" บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และความท้าทายใหม่ของพวกเขาก็คือ การลงเล่นในฤดูกาลหน้าในฐานะทีมแชมป์เก่า และภารกิจการลุยฟุตบอลถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียอย่าง เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ต้องดูว่าพวกเขาจะรักษาระดับของทีม หรือต่อยอดได้มากแค่ไหน

ผู้เขียน : iPoppz_5

กราฟฟิก : phantira thongcherd