บี บางปะกง
เป็นอันว่าแน่นอนแล้วที่คะแนนฟีฟ่าของขุนพลช้างศึกทีมชาติไทย จะยังไม่อาจแซงเวียดนามขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนได้ดั่งหวัง
แถมยังต้องลุ้นให้ฟิลิปปินส์แพ้คาบ้านต่อทาจิกิสถานในศึกเอเชียนคัพ รอบคัดเลือกอีก จึงจะขยับแซงขึ้นมาเป็นที่ 2 ในภูมิภาคนี้
หลังทีมไทยมิอาจป้องกันแชมป์คิงส์คัพ ครั้งที่ 46 ได้ตามเป้า โดยได้ตำแหน่งพระรองของศึกครั้งนี้จากการพ่ายแพ้สโลวะเกีย ทีมอันดับที่ 29 ของโลกในนัดชิงอย่างสนุก 2-3
แต่ในภาพโดยรวมแล้วแฟนบอลก็น่าจะพอใจกับฟอร์มการเล่นของทีมช้างศึกที่ต่อกรกับทีมมาตรฐานโลกได้อย่างน่าดูชม
แม้ว่าในการจับสลากแบ่งสายเอเชียนคัพ 2019 รอบสุดท้าย ทีมไทยเราจะต้องอยู่ในโถ 4 รอเจองานหนักกับบรรดาทีมเขี้ยวลากดินในเอเชียแทบทั้งสิ้นก็ตาม
สำหรับ 2 แมตช์ในศึกคิงส์คัพหนนี้ นักเตะช้างศึกส่วนใหญ่ถือว่าสอบผ่านในมาตรฐานของตัวเอง แต่ที่โดดเด่นเป็นที่จับตากว่าใครเพื่อนในสายตาของผมมีอยู่ 3 แข้งครับ
คนแรกคือ “เจ้าโย่ง” พรรษา เหมวิบูลย์ ปราการหลังจอมแกร่งของแชมป์เซราะกราว บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในทีมช้างศึกยุคของมิโลวาน ราเยวัช ที่เน้นเกมรับอันเหนียวแน่นเป็นหลัก
ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่และการอ่านเกมที่แม่นยำทำให้พรรษาเล่นได้อย่างเฉียบขาดเข้าตากรรมการ กลายเป็นกองหลังตัวหลักยุคใหม่ที่ทีมชาติจะขาดไปไม่ได้
ที่สำคัญเขายังมีการหนุนเกมรุกที่ยอดเยี่ยมบาดตา การันตีได้จากประตูที่เจ้าตัวขึ้นมายิงตีตื้นสโลวักในนัดชิงซึ่งกองหน้าอาชีพยังอาย
คนต่อมาคือ “เจ้านิว” ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ มิดฟิลด์จอมลุยที่ถือเป็น “ผึ้งงาน” ของทีมชาติในยุคนี้อย่างแท้จริง
เพราะสไตล์การเล่นที่ทุ่มเทวิ่งพล่านไปทั่วสนามแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถอดแบบมาจากกองกลางรุ่นพี่ในทีมชาติอย่าง “เดอะง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ยังไงยังงั้น
นั่นจึงทำให้ฐิติพันธ์มีบทบาทยิ่งทั้งในเกมรุกและเกมรับที่เขาเล่นได้อย่างดุดันถึงลูกถึงคน จนบางครั้งเลยเถิดถึงขั้นอารมณ์กระจิงควบคุมตัวเองไม่อยู่กลายเป็นเล่นนอกเกมไป
ก็หวังว่าเจ้าตัวจะเอาฟอร์มที่โดดเด่นเหลือเกินในทีมช้างศึก ไปปรับใช้กับต้นสังกัด “บีจี” บางกอกกล๊าส เอฟซี ให้ระเบิดเถิดเทิงบ้าง หลังทีมกระต่ายแก้วอุตส่าห์ทุ่มงบมหาศาลดึงเจ้าตัวมาโชว์พลังแข้งในถิ่นลีโอ สเตเดียม ฤดูกาลนี้
ส่วนคนสุดท้ายที่โชว์ฟอร์มได้อย่างสุโค่ย! ให้กับทีมชาติในศึกคิงส์คัพหนนี้ ก็คือ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ยอดปีกตัวจี๊ดที่อัพเลเวลตัวเองไปสู่ความเป็น “ซุปเปอร์สตาร์เอเชีย” ขึ้นทุกวัน
โดยเจ้าตัวดูเหมือนจะไม่เคยหยุดยั้งการพัฒนาฝีเท้าให้ก้าวไปข้างหน้า จากที่เคยเป็นแค่นักเตะฝีเท้าดีคนนึง แต่เดี๋ยวนี้ “เจ้าเจ” กลายเป็นคีย์แมนตัวพระเอกในเกมรุกตัวจริงเสียงจริงไปแล้ว
ยิ่งเจ้าตัวได้ไปลับสกิลทักษะฟุตบอลชั้นสูงอยู่ในเจลีกญี่ปุ่นด้วยแล้ว มันก็เหมือนมีดเนื้อดีได้ลับคมกับหินเจียร์ชั้นเยี่ยมนั่นแหละ
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้เล่นอย่างมั่นอกมั่นใจทั้งลีลากระชากลากเลื้อยอันคล่องแคล่ว พิงบอลได้เปรียบคู่แข่งแทบทุกจังหวะ แถมครองบอลเหนียวแน่นยากที่จะช่วงชิง
และผมจะไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็น “เจ้าเจ-ชนาคุง” กลายเป็นนักเตะที่เก่งที่สุด และดีที่สุดของประเทศไทยเท่าที่เคยมีมา
ตั้งแต่อดีตยันจนถึงปัจจุบัน!!!
บี บางปะกง