ไทยรัฐออนไลน์
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่คุ้นชื่อของ “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟหญิงหมายเลข 1 ของโลกคนใหม่ ที่สร้างประวัติศาสตร์และความภาคภูมิใจอีกครั้ง ให้กับคนไทยทั้งประเทศ...
แน่นอนว่าความสำเร็จของโปรเมในทุกวันนี้ ย่อมมาพร้อมกับความยากลำบากในอดีต รวมถึงแรงผลักดันที่ดีจากครอบครัว ซึ่งช่วยให้โปรสาววัย 21 ปีรายนี้ สามารถเดินฝ่าอุปสรรคจนก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์ของวงการก้านเหล็กโลกในปัจจุบัน
และอีกหนึ่งคนที่มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก คือบิดาผู้ผลักดันและเคี่ยวเข็ญให้ เอรียา ก้าวมาถึงจุดนี้ ซึ่งได้แก่คุณพ่อสมบูรณ์ จุฑานุกาล และวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสจับเข่าพูดคุยถึงเบื้องหลังความสำเร็จกับชายผู้นี้ ซึ่งครั้งหนึ่งยอมทุ่มเงินที่มีเพื่อให้ลูกได้เดินตามฝัน, ยอมโดนมองว่าเป็นคนบ้า รวมถึงยอมเป็นผู้ร้ายในสายตาคนอื่นเพื่อให้ลูกได้ดี
คิดแบบอินดี้ เริ่มต้นวาง “พิมพ์เขียว” ให้ลูกด้วยตัวเอง
ถึงแม้จะไม่ใช่นักกอล์ฟมือโปรระดับอาชีพ แต่ด้วยประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวสั่งสมมาหลายปี ทำให้คุณพ่อสมบูรณ์พยายามเก็บมาคิด วิเคราะห์ ออกมาเป็นแผนการที่สำคัญ เพื่อวางเป็นโปรแกรมเริ่มต้นให้กับลูกสาวทั้งสอง ในการไต่เต้าขึ้นสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ในอนาคต
“โปรคนอื่นคิดไม่เหมือนผมอยู่แล้ว คิดแค่อยากจะสอน อยากเอาเงิน แต่เรากลับกัน เริ่มจากการที่ เอรียา ได้ไปแข่งที่อเมริกาครั้งแรก ผมเห็นเด็กเม็กซิกัน เด็กอเมริกันตัวสูงใหญ่กว่า แต่ผมไม่ได้ดูแค่ลูกตัวเองคนเดียว เราไปดูการแข่งขันในรุ่นอื่นที่เป็นรุ่นเด็กโต ซึ่งเห็นแล้วว่าเด็กเอเชียสู้เขาไม่ได้ กลับมาก็คุยกับแม่เขาว่าเริ่มวางแผนกันไหม"
"พอดีกับที่ เอรียา ได้ที่ 2 ของโลกครั้งนั้น ซึ่งมีฝีมืออยู่แล้ว ก็เลยมานั่งเขียนเป็นพิมพ์เขียวว่า เช้าเที่ยงเย็นทำอะไรบ้าง ขั้นตอนต่อไปควรทำอะไร ส่วนเรื่องโค้ชไม่ต้อง ผมสอนเองเลย กว่าจะให้โค้ชมาสอนก็ย่างเข้าช่วง 10 ขวบ แต่เรายังดำรงชีวิตแบบเดิมอยู่ ควบคู่กันไป คือตอนเช้าวิ่ง สายเรียนหนังสือ เย็นว่ายน้ำ โค้ชมาสอนตอนช่วงบ่ายๆ หลังเลิกเรียน"
หลายคนอาจจะทราบอยู่แล้ว ครอบครัวจุฑานุกาลใช้เงินไปหลายสิบล้านในการสานฝัน แต่นอกจากเรื่องการลงทุนแล้ว เคล็ดลับความสำเร็จอีกอย่างคือการเคี่ยวเข็ญให้ลูกๆ อยู่ในวินัย แม้จะต้องใช้การตีลูกก็ต้องยอม “ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานเลย ผมเป็นคนจ่ายตังค์ แม่เขาเล่นกอล์ฟไม่เป็น แม่เขามีความดีอยู่อย่างคือเป็นช้างเท้าหลังตัวจริง เขาไม่เคยขัดใจผมเลยแม้จะตีลูกก็ตาม การตีเป็นธรรมชาติของเรา มันเป็นสันดาน (หัวเราะ) เพราะอยากให้เขาได้ดี มันเป็นความรักอย่างหนึ่งแบบที่บางคนอาจจะรับไม่ได้ เพราะว่ามันล้าสมัยไปแล้ว ผมกลับคิดว่าเล็กๆ ตีได้ ผมยืนยัน แต่โตแล้วอย่าไปตี มันคือการสร้างวินัย แล้วพอหลังจากนั้นจะพูดง่ายมากเลย เชื่อไหมว่าผมไม่เคยทะเลาะกับลูกเลยนะตอนโต”
ไม่สนใจกับเสียงรอบข้าง แม้ใครจะหาว่า "บ้า" ก็ตาม
การจะพาลูกๆ ไปสู่จุดสูงสุดด้วยวิธีการอันสุดโต่งนั้น พ่อของโปรกอล์ฟสาวมือ 1 โลกคนปัจจุบัน ยอมรับว่า มีแรงเสียดทานไม่น้อยจากคนรอบข้าง แต่ที่ผ่านมาได้เพราะความมั่นคงที่มีต่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ “ตอนนั้นญาติๆ เอือมเลยนะ เขาไม่เอาผมเลย อาจจะดูไม่ค่อยดีเท่าไร แต่เราคิดว่าถ้าประสบความสำเร็จเมื่อไรจะกลับมาใช้หนี้เขา เขาไม่เข้าใจเรา บางคนบอกผมบ้า เขาถามผมว่า ‘เฮ้ย คุณบ้าหรือเปล่า?’ ผมก็เงียบ โอเคไม่เป็นไรถ้าพูดกันไม่เข้าใจก็ไม่ต้องคุยกัน”
“ตอนแรกที่พาลูกไปอเมริกาก็ไปกันหมดเลย 4 คนพ่อแม่ลูก จะได้ไม่ต้องห่วงทางนี้ ยอมรับว่าใช้เงินเยอะ แต่โอ้โห...เรากินแบบซำเหมาน่ะ ผมกินข้าวตามใต้ต้นไม้สนามกอล์ฟ ฝรั่งไม่รู้ไง เดินมาทักทายก็คิดว่าเราปิกนิก เออพูดแบบนี้ก็ดีรู้สึกแฮปปี้ แต่จริงๆ ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะอาหารบนคลับเฮาส์มันแพง จานหนึ่งต่ำๆ ก็ 8-10 เหรียญเข้าไปแล้ว นี่ผม 10 เหรียญกินได้ 4 คน น้ำก็ไปกดเอาตามสนามบ้าง ไม่มีซื้อน้ำขวด ประหยัดที่สุดเพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องอยู่นานแค่ไหน ตอนนั้นเพิ่ง 12-13 ปีเอง เราไม่รู้ว่าจะไปถึงอายุ 18 เมื่อไร เราเองก็บ้าแข่งต้องเดินทาง นั่งเครื่องบินตีตั๋วเท่าคนอื่น ค่าสมัครก็เสียเท่ากันรวยหรือจน เพราะฉะนั้นเราต้องประหยัดตรงนี้ไว้”
“เรื่องหลับนอนก็เหมือนกัน ตอนแรกๆ ไม่รู้ก็นอนกับทัวร์นาเมนต์ที่เขาจัดให้ ซึ่งมันแพงหน่อยเพราะอยู่ในสนามบ้าง ใกล้สนามบ้าง 200 เหรียญต่อคืน แต่หลังๆ เรามาอยู่โมเตลข้างนอก 70 เหรียญบ้าง 80 เหรียญบ้าง ฟลุกๆ หน่อย 45 เหรียญบ้าง บางทีก็ต้องแอบลูกไว้ก่อน เพราะกลัวเขาไม่ให้อยู่ห้องเดียวกัน 4 คน โชคดีที่เมืองนอกเขาให้เราเอากุญแจไปไขห้องเอง มันก็เลยไม่มีปัญหาอะไร ผมกับเอรียาต้องนอนพื้นหลายปีเหมือนกันนะ เพราะเตียงมันเล็ก เวลาพลิกตัวกลัวคนอื่นจะตื่น ก็เลยต้องเสียสละนอนพื้นกันบ้าง จริงๆ น่าจะเอาทฤษฎีนี้ไปใช้บ้างนะนอนพื้นแล้วเก่ง (หัวเราะ)”
เล่นเก่งจนเกาหลีต้องแดกดัน!!
ความเก่งของ “โปรเม” ไม่ใช่เพิ่งจะฉายแววแค่ในตอนนี้เท่านั้น แต่เก่งมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ซึ่งด้วยความเก่งนี้เองกลับมาสร้างปัญหาให้ครอบครัวจุฑานุกาลได้ปวดหัว เพราะโดนเสียงแดกดันถากถางจากเพื่อนร่วมทัวร์ โดยเฉพาะชาติชั้นนำในวงการก้านเหล็กหญิงอย่างเกาหลีใต้
“ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ แต่พบบ่อยในช่วงนั้น คือเรื่องคนเกาหลีนี่แหละที่ชอบพูดจาแดกดันเรา แม้จะได้สัญชาติอเมริกันแต่นิสัยยังเป็นเกาหลีอยู่ ก็ชอบพูดแดกดันประชดเราว่า ‘เฮ้ย! ฝีมือแบบนี้ไปเล่นโปรสิ’ ผมก็โมโหว่าทัวร์ที่ไหนมันจะรับเด็กอายุ 14 ไปเล่นล่ะ พูดจาไม่ดี คือ เอรียา ต้องยอมรับว่าเก่งจริง ฝีมือห่างจากเขาเยอะมาก มีบางแมตช์ 4 วัน สกอร์ 18 อันเดอร์พาร์ แล้วที่ 2 สแควร์พาร์คือใครรู้ไหม? โมรียา นี่แหละ รองลงไปก็คือ ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกัน เราห่างเยอะจนเขาหมั่นไส้ ผมก็โมโหว่าที่ไหนเขาจะให้เราเล่นละอายุแค่นี้ ในอเมริกายังเทิร์นโปรไม่ได้เพราะเขาถือว่าเด็กยังอยู่ ต้องอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะเข้าเกณฑ์ของแอลพีจีเอ ทัวร์”
“ตอนนั้นเป้าหมายของเราชัดเจนมาก คือมือ 1 อย่างเดียวเท่านั้น เพราะเราชนะฝรั่งหลายแมตช์แล้ว คู่ปรับของเราในตอนนั้นคือ เล็กซี่ (ธอมป์สัน) แข่งกับ เอรียา มาตลอด เราเคยชนะเขาแค่ครั้งเดียวเอง แต่สิ่งที่สอนเราในตอนนั้นคือประสบการณ์ เรื่องอากาศ สอนให้เรารู้ว่าเราทนได้แค่ไหน ผมชื่นชมความอดทนของเด็กสองคนนี้มาก เพราะมีอยู่รายการหนึ่งเราเตรียมตัวลงแข่งที่ฟลอริดา อากาศอยู่ที่หนาวมาก -3 องศา มือของ โมรียา แตกเลือดไหลเลย เพราะอากาศหนาว แต่เขาก็ยังซ้อมต่อไป เรื่องนี้ผมยอมรับเลยว่าเขาอดทนจริงๆ”
ตำแหน่งมือ 1 ของโลก ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝัน
เมื่อถูกถามถึงว่า ความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่เห็นลูกคว้าแชมป์แรกในแอลพีจีเอ ทัวร์ เมื่อปี 2016 กับแชมป์รายการล่าสุดที่ส่งให้ขึ้นครองมือ 1 ของโลก แตกต่างกันหรือไม่ คุณพ่อสมบูรณ์เผยว่า “ผมรู้สึกมาตลอดว่าเขาต้องมีวันนี้ สังเกตไหมว่า ผมไม่ต้องไปถึงอเมริกาตอนเขาเป็นมือหนึ่งของโลก เพราะเราคาดหวังเอาไว้แล้วว่าต้องมีวันนี้”
“เราไม่กล้าคุยว่ารอมานานมากแค่ไหน ก็ดีใจกับเราด้วยจริงๆ เพราะตอนแรก เอรียา เหมือนรถติดหล่ม เขาแพ้มา 10 รายการติดต่อกัน เราก็มานั่งคิดว่าแล้วสปอนเซอร์จะสนับสนุนเราต่อไหม แต่เขาก็ยังเล่นต่อไปซึ่งผมชมเขาในใจ จนกระทั่งพลิกมาเป็นชนะ มันอาจจะเป็นเพราะโค้ชจิตวิทยาคนใหม่ที่ทำให้เขาแฮปปี้ด้วย ก็เลยทำได้ ซึ่งผมอยากจะแนะนำว่านักจิตวิทยาควรใช้ตอนโต ตอนเด็กควรฝึกเรื่องวินัยกับร่างกายเป็นหลัก”
นอกจากนี้ คุณพ่อสมบูรณ์ยังกล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้ไม่ได้คุยกับลูกเรื่องกอล์ฟเลย เพราะมั่นใจว่าได้ตีกรอบ และวินัยที่ดีให้กับลูกสาวทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว "ตอนนี้ผมไม่คุยเรื่องกอล์ฟกับลูกเลย เรื่องวินัยก็ไม่คุย เพราะเราให้เขาไปหมดแล้ว ผมบังคับเขามาเยอะเลยนะสมัยเด็กๆ ถ้าไปยุ่งกับเขาอีกตอนนี้สงสัยเขาต้องเกลียดผมแน่เลย ตอนนี้จะเกลียดอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่ผมสร้างกรอบให้เขาแล้ว เขาไม่รู้จักว่าพ่อคนอื่นตีเหมือนกันหรือเปล่า ไปเที่ยวห้างเล่นอะไรเขาไม่รู้จัก เพราะเขาเล่นกับผมตลอดเวลา เป็นทุกอย่างให้กับเขา เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งนายทุน 3 อย่างนี้ต้องเป็นให้ได้"
ถ่ายทอดประสบการณ์ ช่วยผลักดันสร้าง "เอรียา 2"
สุดท้ายหลังนั่งมองความสำเร็จของลูกสาว ในการก้าวขึ้นมาผงาดบนแวดวงก้านเหล็กโลก ทำให้ทุกวันนี้พ่อของโปรเม มีแนวคิดที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ แก่บรรดาผู้ปกครองที่มีใจรัก และอยากให้ลูกมุ่งมั่นในการเป็นเลิศเกี่ยวกับกีฬากอล์ฟ
"ตอนนี้เราอยากที่จะแบ่งปันความคิดของเราไปให้กับพ่อแม่คนอื่นอีก เพราะเห็นว่านักกอล์ฟไทยส่วนใหญ่จะตีลังกาคิด เขาคิดว่าเริ่มที่ทักษะ เห็นว่าลูกตีดีค่อยส่งเสริม แต่สำหรับผมไม่ใช่ จะเริ่มที่เรื่องร่างกายก่อนทักษะ และต้องมีวินัย ถ้ามีสองอย่างรวมกันจะทำให้มีคุณภาพ แล้วเมื่อเราใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเด็กจะรับได้เกือบ 90% จะได้ไม่ต้องกลับมาถอยหลังเริ่มสร้างไม่ได้แล้ว"
"อีกอย่างที่สำคัญคือ เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะฟังเราน้อยลง มันจะทำให้ไม่แข็งแกร่งพอที่จะไปสู้โลกได้ เพราะเราเป็นคนเอเชียร่างกายสู้ฝรั่งไม่ได้ ดังนั้นเราต้องขยัน แข็งแกร่ง เริ่มต้นที่อาหาร การหลับนอน วินัย ตอนนี้ผมพยายามบอกกับผู้ปกครองทุกคนว่า เข้ามาเถอะจะสอนให้ฟรีๆ ผมอยากให้มีเอรียาคนต่อไปเรื่อยๆ เพราะถ้าไม่ถ่ายทอดตอนนี้มันจะช้ามาก ใครที่สนใจก็เข้ามาได้จะบอกหมดเลย จะประหยัดกว่าผมด้วย เพราะผมใช้เงินเยอะตอนแรก แต่ตอนนี้ผมผ่านตรงนั้นมาแล้ว."