โจโจ้
ยังมี “ดราม่า” ไม่รู้จบสำหรับ สมาคมฟุตบอลไทย หลัง “เสี่ยปี๊บ” ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรบีจี ปทุมยูไนเต็ด ขอลาออกจากสภากรรมการไปเมื่อเดือน พ.ค. ก่อนมีเรื่องให้พูดต่อในเวลาต่อมา หลัง “เสี่ยปี๊บ” ไม่ยอมรับช่อดอกไม้จาก “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ หลังจบนัดชิง “รีโว่คัพ”
จากนั้นดูเหมือนปัญหาและข้อสงสัยต่างๆนานาจะมีให้ถกถามอยู่ตลอดว่าเพราะอะไร มีสาเหตุจากอะไรกันแน่ ทำไมถึงเกิดเรื่องราวขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกคนรู้ว่า “ปวิณ คือน้องรักของมาดามแป้ง”
ดูเหมือนปัญหาภายในสมาคมลูกหนังไม่ใช่ยุติแค่ “ปวิณ” ลาออก ล่าสุด “เสี่ยเซฟ” สุทธิพันธ์ วรรณวิเวศร์ ที่มีข่าวจะมานั่งเก้าอี้เลขาฯสมาคม สุดท้ายขอถอนตัวไปแล้ว ส่วนเบื้องลึกจะเป็นอย่างไรต้องไปสืบกันเองว่าถอนเอง หรือมีเบื้องหลังอะไรกันแน่
ขอทำหน้าที่ “หมอดู” หลังจากนี้เชื่อว่าอาจ จะมีข่าวพรั่งพรูในทางลบออกมาอีกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเท่าที่ทราบมีไม่กี่ชนวนเหตุที่ทำให้หลายคนไม่สามารถร่วมทำงานในสมาคมได้สมาคมลูกหนังหากมองย้อนไปเมื่อกว่า 20 ปี สมัยที่ “วีเจ” วิจิตร เกตุแก้ว ยังนั่งเก้าอี้บริหาร
โดยมี “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อยู่เคียงข้างเป็นเลขาฯ สมัยนั้น “ฟุตบอลไทยลีก” หาราคาอะไรไม่ได้เลย คนเข้าดูทุกนัดนับจำนวนได้เลย
จนสมาคมมอบหมายให้เครือสยามสปอร์ตของ “บอสระวิ” ระวิ โหลทอง มาทำประชาสัมพันธ์ตอนนั้นทุกคนต่างระดมสรรพกำลังระดมสมองขบคิดว่าทำอย่างไรให้ไทยลีกมีความนิยม ไล่ตั้งแต่การจ้างตลกมาเล่นในช่วงพักครึ่ง มีการแจกรางวัลมากมาย โดยเฉพาะในช่วงแรกที่มี “คาลเท็กซ์” เป็นสปอนเซอร์หลักถึงขนาดต้องแจกบัตรเติมน้ำมันให้กับผู้โชคดีในสนาม
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ทางสมาคมและสยามสปอร์ตพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นให้แฟนบอลเข้าสู่สนามเพื่อชมเกมลีกที่ถือว่าสูงสุดของวงการฟุตบอล ซึ่งระยะหลังก็เริ่มมีการตอบรับไป ในทิศทางที่ดีมีแฟนบอลเข้าชมมากขึ้น
ต่อเนื่องมาถึงยุคสมัยที่ “บังยี” นั่งบริหารงาน ต่อจาก “วีเจ” แต่ยังมี “สยามสปอร์ต” เป็นหัวเรี่ยวแรง ในการทำประชาสัมพันธ์ให้กับสมาคม จนเริ่มมาผุดแยกประเภทของฟุตบอลเป็นลีกภูมิภาค หรือโปรวินเชียลลีกเดิมที่หวังกระตุ้นให้ทุกจังหวัดสร้างทีม ขึ้นมาแข่งให้เป็นระบบแบบเลื่อนชั้นตกชั้นเพื่อจะได้ สอดคล้องกับลีกสูงสุดและเข้าสู่ระบบอาชีพอย่างเต็มตัว
โดย “บอสระวิ” มีการเพิ่มหนังสือ “ฟุตบอลสยามเล่มเล็ก” เพื่อเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับวงการลูกหนังไทยโดยเฉพาะ เรียกว่ายุคนั้นสร้างความฮือฮา มีจำนวนแฟนบอลที่รักท้องถิ่นเข้าเชียร์ทีมบ้านเกิดอย่างคับคั่งเต็มสนามทุกนัด ไม่ใช่แค่นั้นขณะที่ “ไทยลีก” เองก็มีการปรับกระบวนยุทธ์ต่างๆนานาออกมาสู้มีคนเข้ามาสนับสนุนทีมมากมาย เรียกได้ว่า มีการแข่งขันอย่างกว้างขวาง ถือ “เป็นยุคทองของบอลไทย”
ส่วนหนึ่งเพราะการร่วมทำงานแบบเป็นระบบทั้งในด้านการจัดการแข่งขันและการประชาสัมพันธ์ส่งผลให้ผลงานทีมชาติก็ดีขึ้นมาด้วย จนเป็นที่มาที่ไปของการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดให้กับทรูวิชั่นส์
ใครจะคิดว่ายุคทองสมัยที่ “บังยี” คุมบังเหียนสมาคมลูกหนังลิขสิทธิ์จะมีมูลค่ามากถึงกว่าพันล้านต่อปี ส่งผลให้ทุกสโมสรมีเงินสนับสนุนปีละ 20 ล้านบาท ตอนนั้นก่อนการเลือกตั้งบังยียังเคยประกาศจะเพิ่มงบสนับสนุนทีมเพิ่มเป็น 25 ล้านบาท แต่สุดท้ายบังยีดันตกเก้าอี้ไม่ได้รับเลือกตั้ง
จากนั้นเป็นต้นมาดูเหมือนบอลไทยจะตกต่ำดำดิ่งลงเหวแบบกู่ไม่กลับ เงินค่าลิขสิทธิ์ที่เคยได้อย่างมหาศาล พลอยต้องยุติลงส่วนจะด้วยสาเหตุใด ไม่อยากพูดถึงเพราะสะเทือนใจคนลูกหนังและแฟนกีฬาไทยทุกคน
ที่เขียนมาเหมือนนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แต่ที่พูดถึงก็เพราะอยากสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมาไม่เห็นมีหน้าไหนมาแยแส หรือให้ความสนใจกับการเข้ามาร่วมทำฟุตบอล
วันนี้มูลค่าของฟุตบอลไทยแม้จะตกต่ำไปบ้าง แต่ก็กลายเป็นแหล่งให้คนกลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์เข้ามาสูบเลือดสูบเนื้อจนมูลค่าบอลไทยแทบจะหมดไปแล้ว
หลายคนที่เข้าไปสัมผัสและเดินออกมาต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าเสียดายและเสียใจกับมูลค่าของวงการลูกหนังไทย มีการเห็นใจ “มาดามแป้ง” ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
ทุกอย่างล้วนคาดเดายากคงอยู่ที่ “มาดามแป้ง” จะตัดสินใจจะเลือกเดินแบบไหน สุดท้ายอย่าให้คำว่าฟุตบอลต้องเสียคนที่รักไปทีละคนเลยครับ.
โจโจ้
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่