ฟ้าคำราม
เกร็ดความรู้ดีๆ วิ่งรอบโลกปั่นทั่วไทย วันนี้ มาจากเพจ ThaiRun ฮับความสุขนักวิ่ง ในหัวข้อ วิ่งหรือออกกำลังกายเสร็จแล้วอย่าปล่อยให้เปียก (ชื้น) นาน
คงไม่มีใครวิ่งจบ แล้วไม่มีเหงื่อ เหงื่อมาก เหงื่อน้อย ก็ขึ้นอยู่กับระยะทาง และการออกแรง บางคนเหงื่อซึมพอให้ถ่ายรูปสวย บางคนก็เปียกซ่กเหมือนวิ่งฝ่ามหาสงกรานต์ แต่ไม่ว่าจะเปียกชื้นระดับไหน ก็มีเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งที่นักวิ่งน้อยคนนักจะให้ความสำคัญ นั่นคือ โรคที่มากับความเปียกชื้นจากเหงื่อ
ความเปียกชื้นอาจทำให้เกิดผื่นภูมิแพ้ที่ผิวหนังได้ นอกจากเกิดอาการคันแล้วผิวหนังก็อักเสบได้ง่ายด้วย และหากปล่อยให้ร่างกายเปียกชื้นนานวัน โอกาสในการเกิดโรคเกลื้อนที่ผิวหนังก็มีได้เช่นกัน ผลคือ คัน รำคาญใจ และเสียบุคลิกภาพ ในขณะเดียวกันจุดที่มีความ เซนซิทีฟ และ ซ่อนเร้น (จุดที่เรารู้ว่าอะไร) ก็มีความเสี่ยงอย่างมากต่อการเกิดโรคที่มาจากความชื้นของเหงื่อเช่นกัน
ทางที่ดีนักวิ่งจึงควรเตรียมชุดหลวมๆไว้เปลี่ยน หลังจากเข้าเส้นชัย โดยเฉพาะมนุษย์เหงื่อมาก หรือถ้าต้องการเพิ่มความมั่นใจก็พกทิชชูเปียก เอาไว้เป็นตัวช่วยสักนิด ก่อนจะได้อาบน้ำชำระกายแบบจริงจังก็ยังดี
นอกจากนี้นักวิ่งสายเปียกชื้นอาจพบ ภาวะเท้ามีกลิ่น จากความเปียกชื้นของเหงื่อ โดยเฉพาะนักวิ่งระยะไกล หรือสายเทรลที่ต้องบุกป่าฝ่าตม การอยู่กับความเปียกชื้นนานนับชั่วโมงจะทำให้เท้ามีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ถ้าอยู่ในภาวะนี้บ่อยๆ และไม่ใช่มนุษย์ประเภทรีบล้างตัวล้างเท้าหลังวิ่งจบ ก็อาจนำไปสู่ โรคเท้าเหม็น (Pitted Keratolysis) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Micrococ cus Sedentarius ที่มีลักษณะผิวหนังยุ่ย และมีกลิ่นชวนล้มตึง
ทางที่ดีก็ควรรีบล้างเท้าทันทีหลังวิ่งจบ ฟอกสบู่ทำความสะอาดอย่างดีทุกซอกหลืบให้สมกับเป็นขุนพลของนักวิ่ง และหากรู้ตัวว่าเป็นมนุษย์เหงื่อมาก การโรยเท้าด้วย Foot Powder เพื่อช่วยลดความอับชื้นของเท้า ก็พอช่วยบรรเทาได้ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเปียกชื้นนาน
ฟ้าคำราม
socialfox@hotmail.com