หน้าแรกแกลเลอรี่

เช็กอาวุธ

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

1 ม.ค. 2566 04:05 น.

เข้าสู่ปีใหม่กันแล้ว ใครที่เป็นสายวิ่งและกรำศึกกันมาตลอดทั้งปี ลองมาเช็กสภาพอาวุธคู่กายกันดีกว่า ว่าถึงเวลาปลดระวางบ้างแล้วหรือยัง

เพจ “วิ่งไหนกัน ปั่นไหนดี” เขาแนะนำวิธีการเอาไว้

ส่วนตัวของกระผมเองนั้น การเปลี่ยนรองเท้าใหม่ ถือเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง ในการปลุกตัวเองให้ลุกออกจากที่นอนนุ่มๆ

เชื่อว่านักวิ่งแต่ละคนคงมีรองเท้าวิ่งไม่ต่ำกว่า 2 คู่ วันนี้เลยอยากชวนเพื่อนๆมา “เช็กสภาพรองเท้าวิ่ง” กันครับ ถ้ารองเท้าของเพื่อนๆมีสภาพตรงตามด้านล่างนี้ ก็แนะนำให้เปลี่ยนคู่ใหม่จะปลอดภัยกว่า

1.ระยะทางในการใช้งาน

โดยเฉลี่ยแล้วเราควรเปลี่ยนรองเท้าวิ่งทุกๆ 300 ถึง 400 ไมล์ (ราวๆ 483-644 กม.) หรืออาจจะเร็วกว่านี้ ถ้ารองเท้าของเพื่อนๆขาดหรือมีสภาพสึกหรอก่อนเวลาอันควร ซึ่งสาเหตุมันก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การวิ่งของแต่ละคน รวมไปถึงสภาพพื้นผิวที่เราวิ่งด้วย

2.รู้สึกเจ็บเวลาวิ่ง

ในที่นี้จะหมายถึงอาการเจ็บปวดที่มีสาเหตุมาจากรองเท้านะครับ อย่างเช่น กล้ามเนื้อเมื่อยล้า เจ็บหน้าแข้ง หรือปวดข้อต่อ โดยเฉพาะหัวเข่า อาการเหล่านี้อาจมาจากรองเท้าที่ใส่ดูดซับแรงกระแทกได้ไม่ดีพอ วิธีสังเกตอีกอย่างคือ มักจะมีอาการเจ็บทั้งสองข้าง นอกจากนี้ ในกรณีที่เราเพิ่งซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่มา แต่ก็มีอาการเจ็บ มันอาจจะมาจากเราใส่รองเท้าวิ่งผิดประเภทหรือไม่เหมาะกับรูปเท้าอยู่ก็ได้

3.สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกขณะวิ่ง

ขณะวิ่งถ้าเพื่อนๆรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกของเท้า เข่า และสะโพก นั่นแสดงว่ารองเท้าคู่เดิมเริ่มดูดซับแรงกระแทกได้ลดลงแล้ว การวิ่งเป็นกีฬาที่มีแรงกระแทกสูง ถ้ารองเท้าดูดซับแรงกระแทกได้ไม่ดี จะส่งผลให้เกิดความตึงเครียดของเอ็น กล้ามเนื้อ และกระดูกได้

4.ดอกยางสึก

สัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่ารองเท้าวิ่งเสื่อมสภาพแล้วคือ ดอกยางที่พื้นรองเท้าครับ จริงๆแล้วพื้นรองเท้ามีอายุการใช้งานนานกว่าส่วนที่ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกของรองเท้า ดังนั้น ถ้าพื้นรองเท้าสึกหรอ ก็แปลว่าส่วนที่ดูดซับแรงกระแทกก็เสื่อมไปแล้วนั่นเอง

5.รองเท้าสึกไม่เท่ากัน

ลองสังเกตดูครับ ว่ารองเท้าของเรามีรูปแบบการสึกหรอที่ไม่เท่ากันหรือเปล่า เช่น ส่วนหน้าของรองเท้าสึกหรอมากกว่าส่วนอื่น กรณีนี้อาจเกิดจากลักษณะเท้าแบบ overpronation (เท้าแบนเท้าล้ม) เท้าหันเข้าด้านในมากกว่าปกติ

หรือถ้าขอบด้านนอกของรองเท้าสึกหรอมากกว่า ด้านใน ก็อาจมาจากลักษณะเท้าแบบ Underpronation (เท้าล้มเท้าเอียง) ทำให้เกิดแรงกระแทกที่กระดูกส่วนนอกของเท้ามากกว่าด้านใน

***ทั้งสองกรณีนี้ การเปลี่ยนรูปแบบการวิ่งจะช่วยได้ แต่ก็อาจต้องเปลี่ยนรองเท้าด้วยเช่นกัน

เพื่อนๆลองไปเช็กรองเท้าวิ่งในตู้ของตัวเองดูนะครับ รองเท้าบางคู่ที่เราซื้อมานานแล้ว หรือใส่วิ่งมาเยอะแล้ว ย่อมเก่า ชำรุด เสื่อมสภาพไปตามระยะเวลาและการใช้งาน ทีนี้ถ้าเรายังใส่รองเท้าวิ่งที่หมดอายุ/เสื่อมสภาพ ก็จะทำให้เราบาดเจ็บได้ แถมประสิทธิภาพในการวิ่งก็ไม่เต็มที่อีกด้วย.

ยุบสภา