เบี้ยหงาย
เป็นที่ฮือฮาพอสมควรกับการที่พรรคพลังประชารัฐเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ในกลุ่มอีสานตอนบน 11 จังหวัด ซึ่งมีชื่อของอดีตฮีโร่โอลิมปิกไทย “เจ้าบาส” สมรักษ์ คำสิงห์ นักชกเหรียญทองโอลิมปิกไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่จะไปลงสมัครพื้นที่ จ.ขอนแก่น บ้านเกิดของเขา
แน่นอนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต้องกระหึ่มตาม แต่มุมมองของแต่ละคน
ด้วยสมรักษ์นั้น มีเส้นทางที่หวือหวา ผ่านร้อน ผ่านหนาว และผ่านการสัมผัสรับรู้ของผู้คนมายาวนาน และต่อเนื่อง ไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อน สมรักษ์เป็นคนอย่างไร คนไทยรู้หมดอยู่แล้ว
ส่วนในบทบาทบนเส้นทางการเมือง พี่น้องจะตัดสินใจอย่างไร เชื่อมั่น เชื่อถือในตัวเขาขนาดไหน เหมาะสมกับการเป็น ส.ส.รึเปล่า จะเลือกหรือไม่เลือก อย่างไร ก็ว่ากันไปตามสะดวกเมื่อเวลามาถึง
แต่ตอนนี้ นี่ถือเป็นคนกีฬาคนแรกที่เปิดตัว เปิดหน้า จะลงการเมือง ภายใต้พรรคพลังประชารัฐ
ว่าไปแล้วไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร นักกีฬา คนกีฬา ก็เป็นกลุ่มก้อนหนึ่งในสังคม สามารถเสนอตัว สามารถอาสา เพื่อให้ประชาชนทั่วไปพิจารณาได้ การเลือกตั้งในอดีตก็มีมาทุกครั้ง
และด้วยวงการกีฬายุคนี้ดูจะมาก และปกคลุม ไปด้วยนักการเมือง พรรคการเมือง มากกว่ายุคไหนๆ องค์กรกีฬาหลักของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็น องค์กรภาคเอกชนอย่าง คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย หรือองค์กรกีฬาภาครัฐ ในสายของการบังคับบัญชา ล้วนแล้วแต่มีหัวยอดเป็น นักการเมือง
รู้กันอยู่แล้ว แต่ต้องฉายซ้ำให้เห็นภาพกันชัดๆ หัวองค์กรทั้งสอง ประธานโอลิมปิก ประธานบอร์ดการกีฬา และประธานบอร์ดกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ อันถือเป็นกระเป๋าใหญ่ที่เติมพลังให้กับวงการกีฬาไทย ล้วนเป็นคนเดียวกัน
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้า พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งบริบทและสถานภาพย่อมแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในมุมของ “บิ๊กป้อม” เมื่อครั้งเป็นหนึ่งในคณะ คสช.ในอดีต
ในส่วนของเลขาโอลิมปิก และยังมีตำแหน่งเป็นเงาซ้อนอยู่ในโครงสร้างของ กกท. หรือกองทุนฯ ในรูปแบบของคณะกรรมการกลั่นกรอง ก็คือ “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปัจจุบัน หัวหน้า พรรคเศรษฐกิจไทย
ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แน่นอน เป็นของพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่ รมต.พิพัฒน์ รัชกิจ ประการ และรวมถึงรองนายกฯ ที่กำกับดูแล “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค
ยังไม่นับคนกีฬาที่ใกล้ชิดกับการเมือง หรือคนการเมืองที่มีใจรักกีฬา อาทิ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ พี่ใหญ่ อีกคนในวงการกีฬา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา
ด้วยความเกี่ยวโยงในรูปแบบต่างๆระหว่างการเมืองกับกีฬา เมื่อการเลือกตั้งมาถึง จึงไม่ใช่เรื่อง แปลกที่จะมีคนกีฬาเข้าร่วมงาน เข้ามาด้วยการดึง การจ้าง หรืออุดมการณ์เต็มเปี่ยม ก็แล้วแต่จะพูดคุย ตกลง วางตัวกัน
จากนี้ไปจนกว่าจะเข้าสู่โหมดของการเลือกตั้ง ใหญ่จริงๆ คงจะได้เห็นคนกีฬาทยอยเปิดตัวออกมา มากขึ้น
ส่วนเปิดมาด้วยความคาดหวังจริงๆที่จะได้เป็น ส.ส.ของพรรค หรือเปิดมาเพื่อให้ครบองค์ประกอบ เพื่อให้เห็นว่ากีฬาเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งในสังคม สร้างภาพลักษณ์ เก็บตกคะแนนพรรคเล็กๆน้อยๆได้บ้าง ก็แล้วแต่เงื่อนไขและศักยภาพของแต่ละคน
สำคัญที่สุด เมื่อเปิดตัวมา ต้องจริงใจ และจริงจัง กับสิ่งที่จะทำ ความเป็นคนกีฬา จะดังขนาดไหน ก็เพียงดึงให้คนหันมามอง แต่มองด้วยสายตาอย่างไหน เป็นสิ่งที่ต้องสะท้อนตัวตนให้เห็น
มองแล้ว เห็นถึงความมุ่งมั่น ไว้ใจ เชื่อใจ เกิดศรัทธากับการอาสาเข้ามา หรือมองแล้วยิ้มๆ ส่ายหน้า เห็นเป็นแค่เรื่องตลก
สุดท้ายก็จะสะท้อนกลับไปที่คนและพรรค เตรียมตัวกันให้ดี...
“เบี้ยหงาย”