ไทยรัฐออนไลน์
ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ ของวงการกีฬาไทยและสมาคมเทควันโดฯ ในการยืนหนึ่งบนโพเดียมโอลิมปิกได้สำเร็จ หลังจากที่ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เตะพลิกเกมในช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้าย ของรอบชิงเหรียญทองโตเกียวเกมส์
เหรียญทองแรกของทัพจอมเตะจากแดนสยาม ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชเช” เช ยอง ซอก โค้ชชาวเกาหลีหัวใจไทย ถือเป็นเหรียญที่รอคอยไม่นานเท่าไร แค่ใช้เวลาในการบ่มเพาะประสบการณ์ ของนักกีฬาไทยแค่ 20 กว่าปีเท่านั้น นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นในช่วงต้นยุคปี 2000 แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับความสำเร็จที่ได้มาในครั้งนี้
ขณะที่ พาณิภัค เอง ก็มีจุดเริ่มในการเป็นนักกีฬาเทควันโด ในแบบที่เจ้าตัวเองก็ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ แต่พอเริ่มมุ่งมั่น และเอาจริงเอาจังกับกีฬาชนิดนี้แล้ว ก็เหมือนมาเร็วและมาไกลกว่าที่พี่ๆ และเพื่อนๆ ร่วมวงการ เคยได้สัมผัสเสียอีก
“น้องเทนนิส” เริ่มต้นเล่นกีฬาเทควันโดในวัยเพียงแค่ 9 ขวบเท่านั้น และหลังจากโชว์ฟอร์มได้เตะตาโค้ชเช ในการแข่งขันเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย ในอีก 4 ปีให้หลัง ก่อนถูกดึงตัวให้เข้ามาอยู่ในสารบบของทีมชาติอย่างเต็มตัว เรียกได้ว่า กิน นอน ซ้อม ภายใต้กฎระเบียบ ที่มีโค้ชจอมเฮี้ยบจากแดนโสมขาว เฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง เพราะทุกฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่า สาวน้อยจากสุราษฎร์ฯ รายนี้ จะไปได้ไกลอย่างแน่นอน
และเมื่อทุกอย่างเข้าที่ ก็เหมือนกับเรือที่แล่นถูกร่องน้ำ เพราะชีวิตบนสังเวียนเทควันโดของ พาณิภัค เหมือนมีใครบางคนกำหนดให้เธอ เกิดมาเพื่อสิ่งนี้
เริ่มต้นจุดเริ่มต้นความสำเร็จ คือการประเดิมซิวเหรียญทองยูธโอลิมปิก 2014 ที่นานกิง ประเทศจีน ได้ด้วยฟอร์มที่เอาชนะคู่แบบเหลือๆ เกือบทุกรอบ
จากนั้นลูกสาวคนสุดท้องของคุณพ่อสิริชัย วงศ์พัฒนกิจ ก็ไปได้สวยในระดับอินเตอร์ และเบิ้ลแชมป์ในเกือบทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ซีเกมส์ (2017, 2019) แชมป์เอเชีย (2014, 2016) แชมป์กีฬามหาวิทยาลัยโลก (2017, 2019) แชมป์โลกอีก 2 สมัย (ปี 2015, 2019) และเหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2018 ที่อินโดนีเซีย
ส่วนที่พลาดไม่ได้ก็คือ การครองความเป็นเบอร์ 1 ของโลก ในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม แบบที่ไม่มีใครสู้ได้ในช่วง 2-3 ปีหลัง เพราะ พาณิภัค กวาดแชมป์รายการระดับกรังด์ปรีซ์ มาครองได้ถึง 6 รายการ ระหว่างปี 2017-2018 รวมถึงแชมป์แกรนด์ สแลม 2 รายการใหญ่ที่เมืองอู๋ซี ประเทศจีน โดยที่คู่ปรับคนสำคัญอย่าง ฮา มิน อาห์ อดีตแชมป์โลกชาวเกาหลีใต้ และ หวู จิง หยู อดีตแชมป์โลกและแชมป์โอลิมปิกจากมังกร ต้องยอมคารวะให้ความท็อปฟอร์มของ “น้องเทนนิส”
ซึ่งเมื่อทุกอย่างถึงจุดพีก และเดินหน้าเก็บความสำเร็จมาหมดแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือให้ พาณิภัค ต้องพิชิตก็คือเหรียญทองโอลิมปิก ซึ่งเป็นเพียงแค่แชมป์เดียวเท่านั้น ที่สาวน้อยวัย 23 ปียังไม่เคยสัมผัส ที่สำคัญยังจะเป็นการลบรอยแผลในหัวใจ ที่เคยพลาดหวังไปเมื่อปี 2016 ที่ริโอเกมส์
ในปี 2021 ถือเป็นอีกหนึ่งรอบปีที่ “น้องเทนนิส” พาณิภัค ซุ่มซ้อมและลับฝีมือเป็นอย่างดี ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ จากสมาคมเทควันโดฯ และโค้ชเช ยอง ซอก ที่พยายามเคี่ยวกรำลูกศิษย์คนนี้อย่างดีที่สุด และผลสุดท้ายก็สำเร็จจนได้
พาณิภัค ก้าวเข้าสู่การแข่งขัน “โตเกียวเกมส์” โดยมีศักดิ์ศรีเบอร์ 1 ของโลกค้ำคออยู่ ในแง่หนึ่งก็ถือเป็นเครดิต ที่ช่วยให้ไม่ต้องเจอกับงานหนักมากในรอบแรกๆ แต่อีกแง่ก็ถือเป็นความกดดันครั้งใหญ่ ที่ต้องแบกเอาไว้บนบ่า พร้อมกับความหวังของกองเชียร์ชาวไทยทั้งประเทศ
ด้วยความที่เป็นมือวางอันดับ 1 ของรุ่น ทำให้ พาณิภัค เจองานที่ไม่หนักมากในรอบแรกๆ และสามารถเอาชนะทั้ง อาวิเชก เซมเบิร์ก (อิสราเอล), ตรวง ธิ คิม เจิน (เวียดนาม), และมิยุ ฮามาดะ (ญี่ปุ่น) ด้วยผลสกอร์ที่ขาดลอยแทบทั้งสิ้น
จนในรอบชิงดำ “น้องเทนนิส” ต้องโคจรมาพบกับสาวน้อยมหัศจรรย์จากแดนกระทิงดุ อาเดรียนา เซเรโซ ที่ปราบมือวางมาแล้วหลายรายก่อนหน้านี้ และสาวน้อยวัยเพียง 17 จากสเปน ก็ทำให้จอมเทคเบอร์ 1 ของโลกชาวไทย ต้องเหงื่อตกจากการที่ต้องตามหลังมาตลอดทั้งเกม
กระทั่งในช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้าย พาณิภัค ก็งัดเอาความเก๋าเกมออกมาใช้ เตะพลิกเกมกลับมาเอาชนะด้วยสกอร์ที่บีบหัวใจ 11-10 คะแนน คว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์ให้กับวงการเทควันโดไทย และเป็นเหรียญเดียวของทัพนักกีฬาจากแดนสยาม ในการแข่งขันโอลิมปิก "โตเกียวเกมส์" ได้สำเร็จ
และถ้าจะพูดว่าปี พ.ศ.2564 คือปีทองของ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ และของสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ก็คงไม่ผิดนัก เพราะนี่คือความสำเร็จเพียงหนึ่งเดียว ที่เชิดหน้าชูตาให้กับทัพนักกีฬาไทย กับมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในปีนี้.