หน้าแรกแกลเลอรี่

คุยลึกแต่ไม่ลับ “เฮียตี๋ ทีเด็ด 99” เปิดใจในวันที่มวยโดนหมัดน็อกจากพิษ “โควิด-19”

ไทยรัฐออนไลน์

21 พ.ค. 2563 19:30 น.

"เฮียตี๋ ทีเด็ด 99" สรศักดิ์ แซ่ตั้ง โปรโมเตอร์ศึกทีเด็ด 99 และหัวหน้าค่ายมวยทีเด็ด 99 ออกมาเปิดใจหมดเปลือกในวันที่วงการมวยถูกหมัดน็อกจากพิษ "โควิด-19" หรือไวรัสโคโรนา

อย่างที่ทราบกันดีว่าทางรัฐบาลได้เริ่มผ่อนปรนให้กับกีฬาบางชนิดให้สามารถกลับมาทำการแข่งขันหรือทำการฝึกซ้อมได้ในมาตรการที่กำหนดไว้ แต่ทว่ากีฬามวยยังเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ยังไม่ได้รับการผ่อนปรนให้กลับมาทำการแข่งขันหรือซ้อมได้ตามปกติ และถ้าหากอ้างอิงจากมาตรการเดิม กีฬาที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานจะสามารถแข่งขันได้ในเดือนสิงหาคม หรือเดือนกันยายนเลยทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้คนวงการมวยมองว่ามันเป็นระยะเวลาที่นานเกินไป และมันจะทำให้คนวงการมวยอยู่ไม่ได้ ซึ่งทาง "เฮียตี๋ ทีเด็ด 99" สรศักดิ์ แซ่ตั้ง โปรโมเตอร์ชื่อดังของศึกทีเด็ด 99 และหัวหน้าค่ายมวยทีเด็ด 99 ได้นำทีมบุกมายัง การกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อยื่นหนังสือซึ่งมีวาระสำคัญในการขอเร่งรัดให้การแข่งขันกีฬามวยกลับมาได้เร็วยิ่งขึ้น โดยตัวเขาได้ยื่นให้กับ นายวิบูณ จำปาเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย รับเรื่องไว้

"ผมขอเป็นแกนนำบุคคลในวงการมวยเข้าพบ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยในวันนี้ เพื่อนำข้อเสนอแนะแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยของผู้เข้าชมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในการจัดการแข่งขันมวยไทยในสนามแข่งขัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ "โควิด-19" หรือไวรัสโคโรนา จากการระดมความคิดของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขันมวยไทยเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ให้เกิดความมั่นใจในแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้มวยไทยสามารถกลับมาทำการแข่งขัน เพื่อกลับมาสร้างรายได้ให้นักมวยและครอบครัวและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้อีกครั้ง"

"ถ้าถามว่าในค่ายของผมนั้นได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ "โควิด-19" หรือไวรัสโคโรนาหรือไม่น่ะเหรอครับ? ผมขอเรียนแบบนี้ คือมันก็ผลกระทบบ้าง แต่ผมก็หาทางออกด้วยการเน้นการประหยัด ค่าใช้จ่ายของค่ายผมเดือนละ 3-4 แสนบาท แต่ที่ผมเข้าร่วมการประชุมในวันนี้เนี่ยผมต้องการให้วงการมวยมันขับเคลื่อน วันนี้ผมมายื่นหนังสือเพื่อขอความเห็นใจ ไม่ใช่ต้องการให้เปิดวันนั้น วันโน้น วันนี้ แต่ขอความเห็นใจว่าตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ "โควิด-19" หรือไวรัสโคโรนาในประเทศไทยมันดีขึ้น ผมคิดว่าน่าจะผ่อนปรนให้คนในวงการมวยได้แล้ว เราก็มีวิธีการในการจัดการและการป้องกัน ซึ่งจริงๆ คนวงการมวยที่มาเวทีมวยส่วนมากก็จะเดินๆ อยู่แล้วราวๆ 90%"

"ทุกคนในวงการมวยทุกคนเป็นลูกจ้างชั่วคราวหมด ทำงานถึงจะได้เงิน ไม่มีใครในที่นี้เป็นพนักงานเงินเดือนเลย แล้วมวยหยุดไปนานๆ แบบนี้ส่วนตัวผม ผมไม่เดือดร้อนหรอก แต่ นักมวย, เจ้าหน้าที่คณะ, เซียนมวย หรือคนที่ค้าขายเกี่ยวกับมวยทางด้านอื่นๆ มีหลายๆ ส่วนที่เขาได้รับความเดือดร้อน แต่ปัญหาก็คือรัฐบาลไม่เคยมองพวกเราเลย ไม่เคยใส่ใจพวกเราเลย ถามว่าคนมวยหรือคนที่จะไปดูมวยส่วนมากจะเป็นคนหน้าเดิมๆ แต่ผมอยากเสนอให้มีใบมีตรวจโรคทุกๆ 15 วันจากโรงพยาบาล หรือจากเวทีมวยก็ได้ ที่ทางสาธารณสุขกำหนดให้ ผมว่ามันช่วยได้ในระดับหนึ่งเลย เพราะว่าอย่างคนต่างชาติที่มาทำงานประเทศไทย เขาก็ต้องต่อพาสปอร์ตซึ่งก็เหมือนกับคนที่ดูมวยต้องไปตรวจโรคทุกๆ 15 วันเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนอื่นๆ"

"ด้วยความที่ประเทศไทยอยู่ภูมิประเทศที่เป็นเมืองร้อน เชื้อจากคนไทยสู่คนไทยมันอ่อนมากอยู่แล้ว ปัญหาคือจากคนต่างประเทศเข้ามาติดในประเทศไทยนี่คือปัญหาหลัก คนไทยบางคนติดไปกักตัวและรักษาไม่นานก็หายจาก "โควิด-19" คือผมอยากให้รัฐบาลช่วยหรือมีนโยบายในการหาทางออกให้กับเรา ผมไม่อยากนึกสภาพว่าเป็นขอทานขอเงิน พวกผมอยากจะทำงานมากกกว่า เพราะการที่ขอเงินจากรัฐบาลมันก็จะทำให้ประเทศเสื่อมโทรมลงไป เศรษฐกิจมันก็ย่ำแย่ แต่ถ้าเราช่วยกันหาเงินเลี้ยงปากท้องตัวเอง ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ดีกว่า และผมจะพูดถึงจุดบกพร่องที่ทำให้วงการมวยไม่พัฒนานั่นก็คืออย่างแรกเลย กกท.ไม่เคยมาเหลียวแลพวกเราเลย อย่างที่สองคือ เราไม่มีผู้นำที่มีพาวเวอร์ที่เป็นนักพัฒนาและเป็นคนที่ทำงานโดยไม่หวังผลโยชน์ เราไม่มีตรงนี้ อย่างที่สาม ทำเลที่ตั้งของสนามมวย เพราะว่าวงการมวยส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าต้องพึ่งพาคนต่างชาติที่จะจ่ายบัตรเข้าชม"

"ถ้ามีเงินจากยอดจำหน่ายตั๋ว เราก็สามารถจัดมวยรายการใหญ่ๆ ได้ ทุกวันนี้โปรโมเตอร์แบกภาระขาดทุน อย่างสนามเวทีมวยลุมพินีที่ทำเลที่ตั้งไม่ดี ต่อมาอย่างเวทีมวยราชดำเนินเก็บต๋งที่แพงเกินไป ทำให้โปรโมเตอร์ขาดทุนก็จัดนายการใหญ่ไม่ได้ ผมว่าถ้าเป็นรัฐวิสาหกิจทำเนี่ยข้อเสียคือ เขาจะเก็บต๋งเท่าไรก็ได้ บอกเลยว่าเรื่องนี้คนวงการมวยไม่มีใครกล้าพูด มีแต่ผมเท่านั้นที่กล้าพูด เขาไม่คำนึงถึงว่าวงการมวยจะอยู่ได้หรือไม่ได้ ผมจึงมีข้อนำเสนอก็คือ อยากให้ทาง กกท.หาที่ตั้งสนามมวยที่มีทำเลที่ดี ที่มีชาวต่างชาติเข้าชมได้เยอะๆ เราจะได้จัดมวยรายการใหญ่ได้ เพราะนักมวยมันต้องเริ่มจากดาวรุ่งจากนั้นก็ไปสู่แชมเปียนส์และขยับไปถึงการเป็นซุปเปอร์สตาร์ ทุกอย่างมันต้องมีการโปรโมตและเป็นไปตามขั้นตอน แต่ทุกวันนี้วงการมวยอยู่ยากลำบากเพราะอะไร เป็นเพราะว่าโปรโมเตอร์ขาดทุน พอขาดทุนปุ๊บก็ไม่สามารถขึ้นค่าตัวให้นักมวยได้ ก็ต้องมาแบ่งค่าตัวให้นักมวยน้อยหน่อย แต่นักมวยก็ต้องยอมเพราะเขารู้ว่าโปรโมเตอร์ขาดทุน แต่สิ่งที่พวกเราต้องการนั่นคือสนามมวยแห่งใหม่ที่มีทำเลที่ตั้งที่ดี

"คือตอนนี้ต้องยอมรับว่าวงการมวยพบเจอกับปัญหาที่ตกต่ำลง อย่างแรกเลยคือ ทำเลที่ตั้ง จากเวทีมวยลุมพินีที่อยู่พระราม 4 ย้ายไปรามอินทรา แต่ก่อนเดิมนั้นมีชาวต่างชาติวันนึง 200-300 คน หรือบางครั้งก็ทะลุไปถึง 500 คน ถ้านับเป็นเฉพาะค่าตั๋วครั้งนึงก็ได้เป็นล้านแล้ว ยิ่งช่วงใกล้ๆ ปีใหม่ ชาวต่างชาติจะเยอะเป็นพิเศษ แต่ตอนย้ายไปรามอินทรามีชาวต่างชาติไม่ถึง 100 คน แล้วมันจะจัดรายการใหญ่ได้ยังไง เพราะการที่ไม่สามารถเก็บค่าตั๋วได้เยอะๆ และมันก็ซอฟต์ลง และทางโปรโมเตอร์ก็ขาดทุน ก็ต้องขอลดค่าตัวนักมวยอีกทุกคน มันก็เป็นห่วงโซ่ไป ลองนึกดูหากมีทำเลที่ตั้งดี มวยไทยก็จะกลับมาได้แน่นอน อย่างที่รัชดา, สนามศุภชลาศัย ผมก็ว่าน่าสนใจ หรือไม่ก็พระราม 9 ตลอดจนหัวหมากก็พอได้ พวกนี้เป็นทำเลที่ดี และมีชาวต่างชาติเข้าถึงได้ง่าย"

"ด้วยผลกระทบทั้งหลายทั้งปวงนี้ รวมถึงการเลื่อนการชกออกไปถึงเกือบปลายปี ระหว่างนี้จะให้นักมวยหรือคนวงการมวยเขาไปทำอย่างอื่น เขาก็ทำไม่เป็นหรอกครับ คนเรามันแล้วแต่ความถนัดในวิชาชีพส่วนตัวที่ต่างกันอยู่แล้ว ที่ผ่านมานักมวยเคยชกได้เงินประมาณ 3-4 หมื่นบาท แล้วไปทำงานได้วัน 200-300 บาท ถ้าในระยะสั้นมันทำได้ แต่ในระยะยาวมันไม่ไหว แบบนี้คนเราก็ท้อ อย่างนักมวยมันต้องพัฒนาขึ้นไปเป็นโค้ช, กรรมการ หรือโปรโมเตอร์ แต่ถ้าให้ทำแบบงานดังกล่าวมันเหมือนเป็นการไปลดเขาแบบนี้หรือให้เขาเดินกลับไปตั้งต้นใหม่ในทางที่ไม่ใช่ตัวเขา ถ้าหากอยากให้ทุกอย่างมันเจริญหรือก้าวหน้าต่อไปได้ ภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุนและดูแลมันถึงจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี แต่ถ้าภาครัฐไม่ดูแล ทุกคนในวงการมวยก็จะลำบากหมด และที่สำคัญอย่าให้คนไทยทำเหมือนกับเป็นขอทานครับ ให้เขามีงานทำ เศรษฐกิจมันถึงจะได้เดินไป ผมว่าแบบนี้มันดีกว่า".