หน้าแรกแกลเลอรี่

"ฟอนตาเนียล" มั่นใจ กำปั้นไทยซิวตั๋วโอลิมปิก 2020 ตามเป้า

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

2 มี.ค. 2563 14:58 น.

“ฮวน ฟอนตาเนียล” ยังมั่นใจหมัดไทยทำได้ตามเป้าคว้าโควตาไปโตเกียวเกมส์ 4-5 รุ่น ตามที่วางไว้ ทุกอย่างอยู่ที่การประกบคู่มวยว่าเทพีแห่งโชคจะเข้าข้างหรือเปล่า หากไม่เจอแข็งตั้งแต่แรกฉลุยแน่นอน ยอมรับรุ่น 52 กก.ชายไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเพราะเป็นรุ่นพิมพ์นิยม มีแต่นักชกที่เก่งๆ ทั้งคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน อินเดีย ฟิลิปปินส์ โดยที่ “เจ้าเหลิม” ฐิติสรรค์ ปั้นโหมด ก็นับว่าเก่งไม่แพ้กัน อยู่ที่การชิงไหวชิงพริบ ขณะที่ “เจ้าสด” ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี กับวุฒิชัย มาสุขผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ น่าจะไม่พลาด ขณะที่หญิงสุดาพร สีสอนดี กับนิลาวัลย์ เตชะสืบ ได้ลุ้นเพราะมีการพัฒนาไปมาก

ความเคลื่อนไหวทีมกำปั้นเสื้อกล้ามชาย-หญิงไทย ที่เดินทางมาร่วมการแข่งขันมวยสากลคัดเลือกโอลิมปิก 2020 โซนเอเชีย/โอเชียเนีย ที่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน โดยสมาคมมวยส่งหมัดไทยลงล่าโควตาเต็มอัตรา 11 คน แบ่งเป็น นักชกชาย 6 คน เริ่มจากรุ่น 52 กก. นายฐิติสรรค์ ปั้นโหมด, รุ่น 57 กก. จ.ส.ท.ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี, รุ่น 63 กก. นายอธิชัย เพิ่มทรัพย์, รุ่น 69 กก. ร.ท.วุฒิชัย มาสุข, รุ่น 75 กก. นายวีระพล จงจอหอ, รุ่น 81 กก. นายจักรพงษ์ ยมโครต และหญิง 5 คน รุ่น 51 กก. นางสาวจุฑามาส จิตรพงษ์, รุ่น 57 กก. อส.ทพ.หญิง นิลาวัลย์ เตชะสืบ, รุ่น 60 กก. อส.ทพ.หญิง สุดาพร สีสอนดี, รุ่น 69 กก. นางสาวใบสน มณีก้อน, รุ่น 75 กก. นางสาวพรนิภา ชูตรี ซึ่งทีมไทยเดินทางมาถึงตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมาสภาพอากาศเริ่มหนาวเย็นอยู่ที่ 13 องศา แถมมีฝนตกลงมาอยู่ตลอด โดยการซ้อมในช่วงเช้าทางกลุ่มสตาฟฟ์โค้ชนำโดย “ฮวน ฟอนตาเนียล” เฮดโค้ชชาวคิวบา จัดให้ซ้อมที่ห้องยิมภายในโรงแรมที่พัก เริ่มต้นด้วยการวอร์มร่างกาย ชกลมเพื่อทบทวนเชิง วิ่งสายพาน ต่อยเป้าเพื่อเน้นในเรื่องเทคนิค ใช้เวลาประมาณกว่า 1 ชม.จากนั้นให้ทุกคนลองทดสอบน้ำหนัก ปรากฏว่าทำได้ตามพิกัดที่วางไว้ทุกคน

หลังการซ้อม “ฮวน ฟอนตาเนียล” เปิดเผยว่า การคัดเลือกนั้นไม่ง่ายไม่ยากจนเกินไปสำหรับทีมไทยทั้งชายหญิง เพราะจำนวนโควตานั้นถือว่าเอื้ออำนวยและเปิดกว้างกับทีมไทยอย่างมาก ที่สำคัญเราซ้อมมาดีตามโปรแกรมที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทาง แม้จะเลื่อนจากกำหนดเดิมในเดือน ก.พ. แต่เราก็ได้มีการเทรนนิงแคมป์กับนักมวยมีระดับที่เคยได้เหรียญโอลิมปิกเกมส์รวมถึงเวทีระดับโลกมาแล้วหลายคน ทำให้เรารู้ว่าศักยภาพของนักชกไทยมีมากน้อยหรือมีหวังแค่ไหน

จากการประเมินในเบื้องต้นต้องยอมรับว่าในจำนวนที่ไทยส่งมานั้น รุ่น 52 กก.ชายถือว่าหนักที่สุดเพราะมีนักชกที่เก่งเยอะมากเรียกได้ว่าเป็นพิมพ์นิยม เพราะเป็นการรวมกันระหว่างรุ่น 49, 51 และ 54 กก. แต่ละคนมีความรวดเร็วและชกได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน อินเดีย ฟิลิปปินส์ และไทย สำหรับ “เจ้าเหลิม” ฐิติสรรค์ ปั้นโหมด ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่เก่งด้วย หนนี้ถือเป็นการชิงไหวชิงพริบของแต่ละคน ที่สำคัญต้องดูผลการประกบคู่หากไม่เจอสายแข็งโป๊กตั้งแต่รอบแรกก็เชื่อว่ามีโอกาสผ่าน

อีกรุ่นถือว่าหนักรองลงมา รุ่น 63 กก.ถือว่าไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทุกคนมีหมัดที่หนัก เท่าที่ดูคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน อินเดีย ออสเตรเลีย หรือจอร์แดน ถือว่าใช้ได้ทีเดียว สำหรับ อธิชัย เพิ่มทรัพย์ ถือว่าเป็นนักชกอัจฉริยะคนหนึ่ง เพียงแต่ประสบการณ์ยังน้อยไปนิด ถ้าในสายไม่แข็งมากก็มีโอกาส

ขณะที่ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี กับวุฒิชัย มาสุข 2 คนนี้ถือว่าผ่านเวทีระดับโลกมามากมายน่าจะมีโอกาสที่สุด ซึ่งในการประกบคู่จะเจอกับใครก็ได้มั่นใจน่าจะไม่พลาด

สำหรับมวยหญิงนั้น สุดาพร สีสอนดี กับ นิลาวัลย์ เตชะสืบ น่าจะมีโอกาสที่สุดเพราะทั้งคู่ผ่านกระดูกมวยมาอย่างโชกโชน ประสบการณ์สูงและมีผลงานอย่างชัดเจนในหลายทัวร์นาเมนต์ อย่างไรก็ตามทุกคนทั้งชายหญิงต้องไปลุ้นที่การประกบคู่ว่าเทพีแห่งโชคจะเข้าข้างเรามากน้อยแค่ไหน สำหรับเป้าหมายที่วางไว้ 4-5 คนนั้นตนเชื่อว่าไม่มากหรือน้อยจนเกินไป จากประสบการณ์และการพัฒนาของนักชกไทยน่าจะทำได้ตามเป้าที่วางไว้.