ไทยรัฐออนไลน์
ทัพไทยรั้งเบอร์ 1 ครองเจ้าปันจักสีลัตชายหาดโลก 2019 หลังวันสุดท้าย ทีมต่อสู้ท็อปฟอร์ม ช่วยกันปิดจ็อบ กวาดเเชมป์โลกอีก 10 รายการ รวม 4 วัน ทีมต่อสู้เเละร่ายรำผนึกกำลังโกยรวม 13 ทอง 7 เงิน 6 ทองเเดง ผงาดถ้วยคะแนนรวมอันดับ 1 ของโลก
การแข่งขันปันจักสีลัตชายหาด ชิงแชมป์โลก 2019 ที่ลานโลมา หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา แข่งขันในประเภทต่อสู้ รอบชิงชนะเลิศ โดยนักกีฬาไทยพาเหรดผ่านเข้าชิงเหรียญทองรวม 16 รายการ และสามารถโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โกยแชมป์โลกรวม 10 รุ่น
ประเดิมด้วยคลาสเอ รุ่น 45-50 กก.หญิง "ดาว" ฟิรดาวส์ ดุรอเเม เหรียญทองเเดงชิงแชมป์โลก 2018 ลงสนามพบ ซูซี่ วูลันดารี่ แชมป์โลก 2018 จากอินโดนีเซีย โดยสถิติพบกัน 2 ไฟต์หลัง ทั้งคู่ผลัดกันเเพ้ชนะ โดยสาวแดนอินโดฯ เอาชนะสาวไทย ในรอบตัดเชือกชิงแชมป์โลก 2018 ส่วน ฟิรดาวส์ เอาชนะได้ในการพบกันครั้งล่าสุดจากศึกเบลเยียม แชมเปียนชิพ 2019 เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
เกมนี้สาวไทยเริ่มต้นยก 1 ได้ดี อาศัยความว่องไว และใช้ลูกหนีบซึ่งเป็นอาวุธหนัก ที่ช่วยบวกคะเเนนเพิ่มให้ตัวเองมากสุด เล่นงานสาวอินโดฯ ยก 2 ในช่วงปลายเกม ทีมสตาฟฟ์อินโดนีเซีย แสดงอาการไม่พอใจคำตัดสินของกรรมการในสนามอย่างหนัก ที่ตัดสินให้สาวไทยได้คะเเนน จึงทำการประท้วง ก่อนโยนผ้าขาวลงเวที โดยยอมแพ้และไม่ขอแข่งขันต่อในเกมนี้ ทำให้ ฟิรดาวส์ เอาชนะอาร์เอสซียก 2 คว้าแชมป์โลกไปครอง
ขณะที่คลาสบี รุ่น 50-55 กก. "เจ้าปืน" จักรกฤษณ์ ประสพสิน อดีตนักมวยไทย ขึ้นสังเวียนพบ หวู ซวน ไห ของเวียดนาม เกมนี้ “เจ้าปืน” เดิมเกมบุกประชิดแบบไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งจากเวียดนาม ซึ่งมีเทคนิคและทักษะดีกว่าได้ตั้งหลัก โดยเจ้าตัวเดินหน้าบดหนักตามเสียงเชียร์จนหนุ่มเวียดนามหมดแรง ครบยกหนุ่มไทย ชนะ 4-1 เสียง คว้าเหรียญทองไปครอง
ด้านคลาสอี รุ่น 65-70 กก.ชาย "เจ้านนท์" พรเทพ พูลเเก้ว อดีตแชมป์โลก 2 สมัย ที่ล้มแชมป์เอเชียนเกมส์ จากอินโดนีเซีย มาในรอบตัดเชือก ยังโชว์ฟอร์มร้อนแรง ประเคนเท้าและหมัดเป็นชุด เอาชนะทีเคโอยก 2 อาดิ๊บ ฟาฮาน บิน รามิลี่ ของสิงคโปร์
ส่วนคลาสดี รุ่น 60-65 กก.ชาย "เจ้าลัน" อดิลัน เจ๊ะเเมง รองแชมป์ปันจักสีลัตโลก 2018 ที่สิงคโปร์ ยังโชว์ฟอร์มฮอตต่อเนื่องเช่นกัน โดยตลอด 3 ยก ออกอาวุธได้เข้าเป้าเเบบจะแจ้งเเละชัดเจน เอาชนะ เดนมาร์ก อับดุลราซัด จากฟิลิปปินส์ ขาดลอย 5-0 ผงาดเเชมป์โลกรุ่นนี้
นอกจากนี้นักกีฬาไทยยังพาเหรดกันคว้าชัยอีกถึง 5 คนในรอบชิง ประกอบด้วย คลาสเอส รุ่น 45-50 กก.ชาย กิตติศักดิ์ อาแว ชนะ บุย บา ดุ๊ก (เวียดนาม) 3-2, คลาสซี รุ่น 55-60 กก.ชาย เทวัญ เเสงเงิน ชนะ จันสะมน พุ่มโสภา (ลาว) 5-0
คลาสซี รุ่น 55-60 กก.หญิง ปภาวิณี เกื้อก่อบุญ ชนะ โนนคอย วงศ์ภักดี จากลาว 5-0, คลาสดี รุ่น 60-65 กก.หญิง เจนจิรา หว้านเครือ ชนะ เล ธิ งา (เวียดนาม) 4-1 และ รุ่นโอเพ่นหญิง สุวิชาดา พรุเพรชเเก้ว ชนะ ฮอง ไม อัน (เวียดนาม) 5-0
สรุปหลังจบการแข่งขันวันสุดท้าย ไทยคว้าเพิ่ม 10 เหรียญทอง 6 เงิน 4 ทองเเดง ซึ่งเมื่อรวมกับเหรียญรางวัลในประเภทต่อสู้ ทีมปันจักสีลัตไทย คว้ารวม 13 ทอง 7 เงิน 6 ทองเเดง คว้าถ้วยคะเเนนรวมอันดับ 1 ของโลก ส่วนอันดับ 2 เป็นของ เวียดนาม 7 ทอง 8 เงิน 6 ทองเเดง และที่ 3 สิงคโปร์ คว้า 3 ทอง 1 เงิน 5 ทองแดง ขณะเดียวกัน อดิลัน เจ๊ะเเมง ยังคว้านักกีฬายอดเยี่ยมในประเภทชายด้วย
นายภาณุ อุทัยรัตน์ นายกสมาคมกีฬาปันจักสีลัตแห่งประเทศไทย กล่าวถึงผลงานของนักกีฬาไทยในรายการนี้ว่า เป็นความสำเร็จของทีมไทย ที่สามารถคว้าเเชมป์โลกได้ถึง 13 รายการ เป็นเจ้าเหรียญทองทั้งประเภทร่ายรำเเละต่อสู้ ครองถ้วยคะแนนรวมอันดับ 1 ของโลก ซึ่งโดยรวมตนมองว่านักกีฬาไทยทั้งหน้าเก่าและใหม่มีพัฒนาที่ดีขึ้นพอสมควร
"อย่างไรก็ตาม บนความสำเร็จ ยังมีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะในเรื่องเทคนิค ให้ต้องปรับเเก้ เช่นเดียวกับเรื่องพละกำลัง ก็เป็นสิ่งที่เรากำลังเร่งปรับสร้างให้นักกีฬามีความฟิตและความเเข็งแรงมากกว่านี้ด้วย ส่วนในศึกซีเกมส์ 2019 ที่ฟิลิปปินส์ สมาคมจะส่งนักกีฬาชุดที่ดีที่สุดร่วมชิงชัย และตั้งเป้าว่าน่าจะคว้าได้ 4 เหรียญทอง จากทั้งหมด 6 รุ่น ที่มีจัดแข่งขัน"